อุบัติเหตุบนท้องถนนในประเทศไทยได้สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมหาศาลในแต่ละปี
และด้วยการที่เป็นผู้ใช้รถใช้ถนน ผ่านพบเห็นอุบัติเหตุต่างๆ มาหลายครั้ง โดยเฉพาะอุบัติเหตุที่เกิดจากรถยนต์หรือรถมอเตอร์ไซค์ที่เฉี่ยวชนกับเสาหลักกั้นทางซึ่งทำขึ้นจากปูน ที่มักจะเกิดความเสียหายและบาดเจ็บรุนแรงต่อตัวผู้ประสบเหตุ จึงทำให้นักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานี มีแนวคิดที่จะหาทางป้องกันและลดระดับความรุนแรงของอุบัติเหตุ
ทีม “สี่สหาย-สายช่าง” ที่เกิดจากการรวมตัวกันของนักศึกษา ปวช.ปี 3 จากแผนกต่างๆ จึงได้คิดค้นวัสดุที่จะนำมาทดแทน “เสาหลักนำทาง-เสาหลักกิโลเมตร” ที่สร้างขึ้นจากปูนที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
นายธรรมนูญ รุจิญาติ “หรั่ง” นักศึกษาแผนกช่างเชื่อมโลหะ ปวช.ปี 3 เล่าถึงที่มาของไอเดีย ว่า เคยเห็นว่าตามทางโค้งต่างๆ ในสนามแข่งรถนิยมใช้ยางรถยนต์เก่ามากั้นเพื่อบรรเทาความรุนแรงของอุบัติเหตุ เลยนำแนวคิดนี้มาปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษา แล้วเกิดความคิดว่าน่ามาลองทำเสาหลักนำทางจากยางพารากันดูไหม
จากความคิดว่า “น่าจะทำได้” ทำให้ทั้ง 3 คนช่วยกันคิดค้นหาวิธีที่ทำให้ยางพารามีความแข็งแกร่ง แต่ขณะเดียวกันก็ต้องทนทาน ยืดหยุ่นไม่สร้างความเสียหายให้กับทรัพย์สินและร่างกายของผู้ประสบเหตุไปพร้อมกัน
“ตอนแรกก็งง ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะยางพาราจะมีคุณสมบัติที่นิ่ม ก็เลยไปหาสารเคมีต่างๆ หรือส่วนประกอบอื่นๆ เข้ามาทดลองผสมดูเพื่อให้มีความแข็งแรง สุดท้ายเลยได้ข้อสรุปว่า ใช้ขี้เลื่อยผสมกับยางพาราในอัตราส่วน1 ต่อ 1 จะทำให้เสาที่ทำขึ้นแข็งแรงคล้ายกับไม้ และยืดหยุ่นในขนาดที่พอรับได้ ไม่สร้างความเสียหายกับตัวรถและผู้ขับขี่ และช่วยลดแรงปะทะลดความรุนแรงที่เกิดขึ้นลงไปได้มาก” นายณรงค์ศักดิ์ ทิพย์มาก “โดม” นักศึกษา ปวช.ปี 3 จากแผนกเทคโนโลยียางและพอลิเมอร์กล่าว
ผลงาน “เสาหลักนำทางจากยางพารา” ได้ผ่านการคัดเลือกจากคณะกรรมรอบแล้วรอบเล่า จาก 134 ทีม จนผ่านเข้าสู่รอบ 19 ทีมสุดท้าย และมีการจัดกิจกรรม Workshop เพื่อเรียนรู้มุมมองใหม่ๆ ในการนำนวัตกรรมมาใช้ส่งเสริมสุขภาพชุมชน และเพื่อพัฒนาชิ้นงานให้สมบูรณ์มากขึ้น
“หลังจากนั้นมานั่งคิดกันต่อว่าน่าจะเอาแนวคิดที่ได้รับจากการอบรมมาต่อยอด โดยเริ่มจากติดตั้งระบบไฟโซล่าเซลล์เพื่อเพิ่มความปลอดภัย แต่ก็อาจจะยังไม่เพียงพอต่อการป้องกันอุบัติเหตุ ก็เลยมาคิดต่อว่า ถ้าทำให้เสาหลักนำทางมีระบบ GPS เวลาที่เกิดเหตุก็สามารถแจ้งเตือนไปยังมูลนิธิหรือกู้ภัยต่างๆ ด้วยก็น่าจะดียิ่งขึ้น
เลยพัฒนาระบบApplicationเชื่อมเข้ากับระบบ Line เวลาที่เกิดอุบัติเหตุก็จะมีข้อความระบุพิกัดสถานที่เกิดเหตุส่งผ่านระบบ Line เข้าไปที่หน่วยกู้ภัย จะทำให้สามารถมาช่วยเหลือผู้บาดเจ็บได้ตรงจุดและทันท่วงที” นายอิศร มยาเศรษฐ “บาส” เล่าถึงแนวทางต่อยอดผลงาน
จากไอเดียที่ไม่หยุดนิ่งในที่สุด “เสาหลักนำทางจากยางพารา” สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศระดับอาชีวศึกษา จากการประกวดนวัตกรรมสร้างเสริมสุขภาพ หรือ ThaiHealth INNO Awards จัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนรุ่นใหม่ระดับมัธยมและอาชีวศึกษาได้สร้างสรรค์ผลงานนวัตกรรมสร้างเสริมสุขภาพ ที่เกิดขึ้นจากการผสมผสานความคิดริเริ่มสร้างสรรค์บนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ เพื่อส่งเสริมให้คนไทยมีสุขภาวะที่ดีในทุกๆ ด้าน
“หากเกิดรถชนที่ไม่รุนแรงมาก ตัวเสาจะคืนตัวตั้งขึ้นเองได้เหมือนเดิม จากการทดลองการชนที่ความเร็ว 80 กม./ชั่วโมง พบว่าตัวรถอาจมีรอยถลอกนิดหน่อย แต่ไม่เสียหายถึงโครงสร้าง ส่วนคนยังไม่ได้ทดลองแต่อย่างไรก็ต้องเจ็บน้อยกว่าปูนอยู่แล้วเพราะยืดหยุ่นมากกว่า”
“เราใส่สารเคมีที่ป้องกันการติดไฟด้วย เพราะตามป่าหญ้าข้างทางอาจมีคนทิ้งก้นบุหรี่ หรือมีไฟไหม้ป่าไหม้หญ้าข้างทาง ตัวเสาก็จะไม่เสียหาย เพราะไม่ติดไฟ ถ้ามีคนสนับสนุนก็อยากให้เอาไปใช้กันทั่วประเทศน่าจะปลอดภัย”
“ถ้ารถชนจนพัง สามารถนำมาบดใหม่ ใช้ซ้ำได้ และมีราคาต้นทุนประมาณ 300 บาทเท่านั้น ถ้ามีการเอาไปใช้งานจริงๆทั่วประเทศ จะสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้กับชาวสวนยางพาราที่ประสบปัญหาราคาตกต่ำอยู่ในขณะนี้ได้อีกด้วย” 3หนุ่มจากทีมสี่สหาย-สายช่างช่วยกันอธิบาย
ด้าน อ.ศรีวิการ์ เมฆธวัชชัยกุล อดีตรองปลัดก.ศึกษาธิการ คณะกรรมตัดสิน เผยว่า ผลงานเสาหลักนำทางจากยางพารา สามารถตอบโจทย์ที่เป็นปัญหาสำคัญของประเทศได้ 3 ด้านคือ สร้างความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน ป้องกันบรรเทาความรุนแรงจากอุบัติเหตุ และเป็นนวัตกรรมใหม่ที่รวมเทคโนโลยีต่างๆ เช่น มี GPS เซ็นเซอร์เตือนภัย ที่เชื่อมกับระบบ Line เพื่อแจ้งตำแหน่งที่เกิดเหตุได็รวดเร็ว ราคาถูกและใช้งานได้นานถึง 8 ปี
“สิ่งที่สำคัญคือ ผลงานชิ้นนี้ยังตอบโจทย์ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ และปัญหาในเชิงพื้นที่คือยางพาราที่ราคาตกต่ำ หากขยายผลนำไปใช้ทั่วประเทศ นอกจากจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้แล้ว ยังสามารถสร้างงาน สร้างอาชีพให้กับคนได้อีกเป็นจำนวนมาก”
** อ่านต้นฉบับเต็มได้ที่ หนังสือพิมพ์สยามรัฐ