สาวร้อง ครูสอนขับรถ โรงเรียนย่านบางบ่อ หื่นจัดลวนลามขณะเรียน ทั้งจับต้นขา ถกเสื้อ ถ่ายคลิปแจ้งความเป็นหลักฐาน แต่คดีไม่คืบ
วันที่ 6 ม.ค. 2566 น.ส.ลลิตา อายุ 25 ปี นำคลิปหลักฐานที่ถูก นายมอ (นามสมมติ) อายุประมาณ 50 ปี ครูผู้ฝึกสอนขับรถยนต์ลวนลามขณะเรียนขับรถยนต์ โดยครูชายคนดังกล่าวได้ใช้มือจับต้นขา จับลูบตามร่างกายและพยายามจะถกเสื้อ โดยไม่มีเหตุผลอันควร เป็นเหตุให้ได้รับความเสียหาย
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นที่โรงเรียนสอนขับรถณัฐชัย ถนนลาดหวาย ต.บางเพรียง อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 2565 เวลาประมาณ 12.50 น. หลังเกิดเหตุได้เดินทางเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.คลองด่าน แต่คดีไม่คืบ วันนี้จึงนำเรื่องมาร้องเรียนกับสื่ออีกครั้งเพื่อให้ช่วยนำเสนอเตือนภัยสังคม
ผู้เสียหาย เล่าว่า ในขณะที่เรียนขับรถถูกครูเอามือมาวางที่ต้นขา จับแขน ลูบหลัง แล้วถกเสื้อขึ้น ก่อนบอกว่าขาวจัง ตนเคยบอกไปว่ามาทำแบบนี้กับตนไม่ได้ ก่อนที่ตนจะถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐาน ตนถูกลวนลามมาแล้วครั้งหนึ่งในขณะเรียนอยู่ในสนามขับรถยนต์ ตอนนั้นตนเป็นคนขับก็ไม่สามารถปัดป้องได้
ผู้เสียหาย กล่าวต่อว่า พอออกมาเรียนขับรถข้างนอกซึ่งครูมอเป็นคนขับ ก็ลวนลามตนอีกตลอดทาง ตนจึงใจดีสู้เสือถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐาน ตนพยายามอดทนเรียนให้จบ เพราะเสียเงินเรียนไปแล้ว จำนวน 5,500 บาท พอตนเรียนจบหลักสูตรก็เข้าแจ้งความทันที
“พอโรงเรียนทราบเรื่องก็บอกว่า ไม่สามารถรับผิดชอบอะไรได้ เพราะครูที่มาสอนไม่ใช่คนของโรงเรียนโดยตรงแต่สามารถพักงานครูคนดังกล่าวได้ อยากจะฝากเรื่องเตือนภัยผู้หญิงที่จะไปเรียนสอนขับรถยนต์ ให้หาคนไปเป็นเพื่อน ไม่ควรไปกับครูผู้ชายเพียงลำพัง และขอรายละเอียดครูผู้สอนไว้ให้ชัดเจน เวลาเกิดเรื่องให้ตั้งสติและถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐาน” ผู้เสียหายระบุ
ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่ สำนักงานขนส่งจังหวัดสมุทรปราการ เพื่อไปสอบถามถึงเรื่องดังกล่าวกับหัวหน้ากลุ่มวิชาการขนส่ง แต่เจ้าหน้าแจ้งว่าวันนี้หัวหน้าลาราชการ ด้านเจ้าหน้าที่กลุ่มวิชาการขนส่งให้ข้อมูลแทนว่า ขณะนี้ยังไม่มีผู้เสียหายเข้ามาร้องเรียนที่ขนส่ง จึงยังไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบได้
เบื้องต้นมีการโทรไปสอบถามกับโรงเรียนสอนขับรถเบื้องต้นแล้ว ทางโรงเรียนยอมรับว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริง ผู้ก่อเหตุเป็นครูผู้ฝึกสอนมีใบอนุญาตถูกต้อง ซึ่งวันนี้โรงเรียนสอนขับรถได้ส่งตัวแทนเข้าไปพูดคุยกับผู้เสียหายแล้ว ในส่วนของการลงโทษที่ขนส่งจะทำได้นั้นก็ต่อเมื่อมีผู้เสียหายเข้ามาร้องเรียน หรือให้เป็นข่าวก่อนจึงจะสามารถเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงได้