เป็นแม่ไม่ง่าย – “เวลาทำกิจกรรมนอกสถานที่เราคิดตลอดว่า ‘ลูกเขาอยู่กับเรา’ ”
จากประเด็นข่าวที่กำลังเกิดขึ้น เราได้อ่านได้ฟังข่าวแล้วก็เสียใจที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ตอนนี้แม้จะยังสรุปไม่ได้ว่าเรื่องนั้นเขามีรายละเอียดยังไง แต่ความสูญเสียมันก็ได้เกิดขึ้นแล้ว เพราะเราก็มีลูกของเรา และเราก็เคยเป็นครู ที่ก็รักและห่วงนักเรียนเหมือนลูกของเราเหมือนกัน
ตอนเราทำงานครูเราอยู่ในโรงเรียนประชาบาลต่างจังหวัดนักเรียนไม่มาก ครูก็มีไม่กี่คน และหลายคนก็สอนหลายระดับชั้น พื้นที่ของโรงเรียนจะมีทั้งส่วนอาคารเรียน สนามที่เป็นลานกว้าง ด้านหลังมีพื้นที่ที่ให้เด็กๆทำแปลงปลูกผักสวนครัว มีเล้าไก่ไว้เก็บไข่ และมีพวกไม้ยืนต้นมะม่วง มะขาม
หลังโรงเรียนก็จะมีบ่อน้ำ ในบ่อก็จะเลี้ยงปลาดุกไว้เผื่อไว้เป็นอาหารกลางวันเด็กๆได้บางมื้อ บางทีอากาศร้อนๆ หลังเลิกเรียน มีเด็กลงไปเล่นน้ำเราต้องคอยดู คอยต้อนขึ้น เพราะเราก็กลัวว่าเดี๋ยวเกิดอะไรเราไม่ทันเห็นจะช่วยเด็กไม่ได้ ถึงแม้ว่าเด็กที่นี่ส่วนใหญ่ว่ายน้ำเป็นกันทุกคน
ช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข แม้ค่าตอบแทนจะน้อย งานหนัก แต่สิ่งเล็กๆน้อยๆที่เป็นน้ำใจจากคนในชุมชน และครอบครัวนักเรียนนั้นเติมใจเราได้มากๆ เด็กบางคนไม่มีเสื้อผ้า รองเท้า เราพอเจียดเงินช่วยได้ก็ช่วยซื้อให้ สมุด ดินสอ ยางลบ ก็มีให้เบิก พ่อแม่บางคนหิ้วหน่อไม้มาฝาก บางคนมีกล้วยก็หิ้วกล้วยมา บางคนมีปลา มีผลไม้ ก็ยกมาให้จนกินกันไม่ทัน
กิจกรรมนอกสถานที่อย่างพวกฝึกหัดเอาชีวิตรอด เรียนลูกเสือ ฝึกเดินทางไกล ส่วนใหญ่เลยใช้รอบๆบริเวณโรงเรียนเอา เพราะเราควบคุมได้ แต่การเข้าค่ายเรียนฐานเราก็ทำตามมาตรฐานทุกอย่าง ยิ่งตอนหลังเรามีลูก เราก็ยิ่งนึกถึงใจพ่อแม่คนอื่น ว่าเขาก็ต้องห่วงลูกเขาเหมือนที่เราห่วงลูกเรา
ทำกิจกรรมท่องไว้ตลอด ว่าลูกเขาอยู่กับเรา ไม่ใช่แค่นักเรียนมาเรียนมารับบริการ แต่เด็กๆคือดวงใจของพ่อแม่ที่เขาไว้ใจฝากชีวิตลูกไว้ในความดูแลของเรา เรียนแต่ละฐานก็จะแบ่งหมู่ออกย่อยที่สุด หมู่ละแค่หกคน แปดคน มีการจับบัดดี้กันไว้ และต้องดูแลบัดดี้ให้ดี เวลาใครหายไปสักคนหรือใครมีอะไรผิดปกติจะได้รู้ได้ทันที เช็คชื่อก่อนเรียนฐาน นับเด็กให้ครบ ระหว่างเรียนฐานก็คอยดูแลใกล้ชิด ดูความพร้อมของเด็กแต่ละคนว่าทำอะไรได้อะไรไม่ได้ และต้องการให้ช่วยไหมยังไง มีเด็กบาดเจ็บหรือป่วยหรือเปล่า
เราจะระวังมากฐานที่เกี่ยวกับจุดไฟ(ก่อไฟทำอาหารกันเองในมื้อเย็น) และขึ้นที่สูง(ปีนต้นไม้ ช่วยเพื่อนข้ามสิ่งกีดขวาง) ถึงแม้ว่าเด็กที่นี่จะค่อนข้างคล่องและแข็งแรงกันทุกคน แต่มันก็อาจมีความผิดพลาดเกิดได้เสมอ ฐานเกี่ยวกับน้ำ ทีแรกจะมีให้ลงน้ำ แต่เราประชุมกันแล้วว่ามีความเสี่ยง พื้นสระน้ำ(บ่อเลี้ยงปลา) พื้นก้นสระมันไม่สม่ำเสมอกันและเป็นเลน เราเลยมาเปลี่ยนเป็นฐานแข่งตักน้ำแทน ซึ่งก็สนุกและเด็กๆก็ได้ทักษะการทำงานร่วมกับคนอื่นเหมือนกัน
นอกจากเรื่องกิจกรรมลูกเสือหรือเข้าค่ายต่างๆที่เราเลือกจัดในโรงเรียน อีกหลายครั้งที่เราจำเป็นต้องพาเด็กๆออกนอกพื้นที่อย่าพาเด็กไปแข่งกีฬา ไปแข่งตอบปัญหาในตัวจังหวัด หรือไปสมัครสอบอะไรต่างๆ ครูอย่างเราแม้ไม่ได้เบี้ยเลี้ยงอะไรเพิ่ม แต่ก็ต้องพาไปเอง ออกทุนเองทั้งค่ารถค่ากิน และค่าที่พักในบางครั้ง เพราะเราปล่อยเด็กไปเคว้งคว้างเอาเองไม่ได้ พ่อ แม่ ผู้ปกครองบางคน ฐานะไม่ดี แต่อยากส่งเสริมลูก ให้ได้มีโอกาสเรียน มีโอกาสได้สอบ เราก็เห็นใจ เข้าใจ พยายามช่วยกันทุกวิถีทาง
ช่วงลูกเข้าโรงเรียน เราก็ให้ลูกเรียนโรงเรียนที่เราสอนเลย แต่จะสั่งกำชับไว้อย่างดีเลย ว่า เวลาอยู่โรงเรียนห้ามเรียกหาแม่ ห้ามวิ่งมาหาแม่ ให้ถือว่าเราทำหน้าที่นักเรียน แม่ก็จะทำหน้าที่ครู ไม่มีการให้สิทธิพิเศษอะไรทั้งนั้น มีปัญหาอะไรลูกต้องหาทางแก้เอง หรือถ้าเหลือกำลังก็ให้ไปบอกครูประจำชั้น
มีอยู่วันหนึ่ง เราเลิกเรียน รอรับลูกกลับบ้าน เห็นลูกมีผ้าพันเท้าเดินเขยกมาก็ยังตกใจ ลูกบอกไปวิ่งเล่นกับเพื่อนช่วงคาบสุดท้ายแล้วแก้วตำเท้าเลยไปล้างเท้าแล้วหาครูพยาบาลทำแผลให้ ลูกรักษาสัญญาที่จะแก้ปัญหาด้วยตัวเองหรือครูที่รับผิดชอบก่อน โดยไม่รีบมาหาแม่ สารภาพตามตรงตอนนั้นแอบรู้สึกผิด สงสาร หลังจากนั้นก็พาไปฉีดยากันบาดทะยักตามหน้าที่แม่ต่อ
เรารู้สึกว่าคนที่จะเป็นครูต้องตระหนักว่า เวลาที่พ่อแม่เขาส่งลูกเขามาไว้ที่โรงเรียน คือเราต้องทำหน้าที่เป็นพ่อแม่ให้เด็กๆ ดูแลเขาให้เหมือนกับเป็นลูกของเราเอง ทำหน้าที่ให้สมกับที่เราได้รับความไว้วางใจค่ะ
ขึ้นหนึ่งค่ำ
คุณแม่ท่านหนึ่ง
ภาพ Pixabay