ขณะนี้กำลังใกล้เข้าสู่ช่วงฤดูร้อนในอเมริกาซึ่งเป็นเวลาแห่งการปิดเทอมของเด็กนักเรียน และเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงโรงเรียนต่างๆหวังว่าจะสามารถนำการเรียนการสอนในห้องกลับมาให้ได้ใกล้เคียงกับช่วงก่อนการระบาดของโคโรนาไวรัสให้ได้มากที่สุด
ปัจจัยสำคัญเรื่องการกลับมาเรียนในห้องเรียนได้ของปีนี้คือการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19
ด้านหนึ่งมีการนำวัคซีนที่ใช้ในกลุ่มเยาวชนมาแจกจ่ายอย่างกว้างขวางมากขึ้น อีกด้านหนึ่งเกิดการรณรงค์เพื่อจูงใจให้นักเรียนรับการฉีดวัคซีนมากขึ้น
การทำงานสองด้านนี้เกิดขึ้นเพื่อทำให้เเน่ใจว่าเมื่อถึงเวลาที่คนเริ่มมีกิจกรรมทางสังคมมากขึ้นในปีนี้ โดยเฉพาะที่โรงเรียนและมหาวิทยาลัย ประชากรวัยเรียนจะมีภูมิคุ้มกันต่อการระบาดของโควิด-19 เพิ่มขึ้น
สำหรับการนำวัคซีนมาสู่กลุ่มเยาวชน ทางการสหรัฐฯอนุมัติการใช้วัคซีนต้านโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์ ได้กับประชากรกลุ่มอายุ 12 ถึง 15 ปี ส่วนวัคซีนของบริษัทโมเดอร์นา ก็ถูกคาดหมายว่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง หลังบริษัทกล่าววันอังคารว่า วัคซีนของตนสามารถใช้ได้ดีในกลุ่มอายุดังกล่าว
ในส่วนของการเชิญชวนในประชากรกลุ่มนี้ฉีดวัคซีน สำนักข่าว Associated Press หรือเอพี รายงานว่า โรงเรียนมัธยมของรัฐ ต่างกำลังงัดกลยุทธ์ที่หลากหลายมาใช้ โดยหวังว่าจะทำให้เด็กๆมาฉีดวัคซีนมากขึ้น ตั้งเเต่การเเจกตั๋ว “งานพรอม” มูลค่าเกือบ 100 ดอลลาร์ฟรี ไปจนถึงการประชาสัมพันธ์ผ่านรถขายอาหาร
อเมริกามีจำนวนประชากรที่อายุระหว่าง 12 ถึง 15 ปีจำนวน 15 ล้านคน ในจำนวนนี้ร้อยละ 14 ได้รับวัคซีนโดสเเรกเเล้ว ตามรายงานของเอพีที่อ้างตัวเลขจากศูนย์ควมคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ หรือ Centers for Disease Control and Prevention.
ตัวเลขดังกล่าวถือว่าน้อยกว่าอัตราการฉีดวัคซีนไปแล้วของคนวัย 16 ถึง 17 ปีที่รับวัคซีนไปแล้วร้อยละ 34
ที่ผ่านมาความพยายามเพิ่มตัวเลขการฉีดวัคซีนในสหรัฐฯมีอุปสรรคอยู่บ้าง
ประการเเรก ผู้ปกครองจะต้องอยู่กับเด็ก ณ สถานที่ฉีดยา ซึ่งนั่นหมายความว่าพวกเขาอาจจะต้องลางาน นอกจากนั้นผู้ปกครองบางคนยังไม่เเน่ใจ เพราะเพิ่งมีการอนุมัติให้ใช้วัคซีนกับเยาวชนได้ไม่นานนี้ และบางพื้นที่เกิดการรวมตัวกันประท้วงต่อต้านการฉีดวัคซีนที่โรงเรียน อีกด้วย
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า เมื่อมีความไม่แน่นอนว่าโรงเรียนสามารถออกกฎได้หรือไม่ที่จะรับเฉพาะนักเรียนที่ฉีดวัคซีนเเล้วให้กับมาเรียนที่สถานศึกษาในฤดูใบไม้ร่วง โรงเรียนจึงพยายามเชิญชวนด้วยวิธีต่างๆ
เเต่การสร้างเเรงจูงใจ ประเภทให้ของฟรี ก็ถูกประท้วง รวมถึงเกิดความกังวลว่าการให้รางวัลคนที่ฉีดวัคซีน อาจถูกมองว่าเป็นการเลือกปฏิบัติต่อนักเรียนที่ไม่ได้ฉีด นั่นยังไม่รวมถึงบรรยากาศในสังคมโรงเรียนที่อาจมีการเหยียดหยันกันในเรื่องวัคซีน
สิ่งที่เจ้าหน้าสาธารณสุขและโรงเรียนร่วมมือกันขณะนี้ คือการเพิ่มการเข้าถึงวัคซีนตามชุมชนต่างๆ เช่นคลินิกเคลื่อนที่ตามโรงเรียน โดยโครงการลักษณะนี้ช่วยอำนวยความสะดวกต่อประชากรในชุมชนที่เข้าถึงยากอีกด้วย