“การศึกษา” เป็นเรื่องสำคัญ เป็นคำกล่าวที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นเรื่องจริงที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะกับผู้ปกครองที่มีลูกเด็กๆในปัจจุบัน ที่โลกมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การหาโรงเรียนให้ลูก จึงเป็นอีกหนึ่งภารกิจที่ยากสำหรับพ่อแม่ ที่อยากวางพื้นฐานให้ลูกเติบโตขึ้น พร้อมใช้ชีวิตที่มีการแข่งขันและเปลี่ยนแปลงในอนาคตที่กำลังจะมาถึง
เช่นเดียวกับ คุณพนิดา แคร์โรลล์ ผู้ก่อตั้งโรงเรียน Carroll Preparatory School หรือ “Carroll Prep” ที่เริ่มต้นจากการหาโรงเรียนให้ลูก เพื่อวางพื้นฐานให้พวกเขาเติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพ คุณพนิดา เปิดเผยว่า เริ่มต้นของการสร้าง “Carroll Prep” ก็มาจากการหาโรงเรียนที่เหมาะสมให้ลูกๆ แต่ก็ไม่เจอที่ถูกใจ จึงตัดสินใจจัดการเรียนการสอนให้ลูกๆเอง และค่อยๆ พัฒนาขึ้นจนมาเป็นโรงเรียน “Carroll Prep” ที่ใช้ระบบHybrid นำการความรู้ที่เด็กต้องใช้ในชีวิตประจำวัน มาผสมผสานกับกลุ่มสาระวิชาหลักๆ ที่เด็กจำเป็นต้องเรียน จนเกิดเป็น Carroll Method
หลักสูตร Carroll Method ใช้หลักสูตรแกนกลางสำหรับนักเรียนปฐมวัย หลักสูตรเดียวกับโรงเรียนทั่วไป แต่ความแตกต่างคือวิธีการในการจัดการเรียนการสอนสิ่งเหล่านั้น เนื่องจากในการเรียนการสอนทั่วไปในประเทศไทย จะมีเด็กนั่งเรียนในห้อง 30- 40 คน และมีครูผู้สอน สอนอยู่กลางห้อง ทำหน้าที่สอนแบบทั่วไป แต่สิ่งที่ “Carroll Prep” ทำและคิดว่าควรจะเป็นคือการเริ่มจากการกระตุ้น ให้เด็กมีความอยากเรียนรู้ด้วยตัวเองก่อน เช่น การที่อยากให้เด็กอ่านหนังสือออกก็จำเป็นที่จะต้องกระตุ้นให้เด็กๆ อยากอ่าน ด้วยตนเอง โดยทำให้เด็กรู้สึกว่าการอ่านเป็นสิ่งที่อยากทำโดยเริ่มต้นจากผู้ปกครอง อ่านหนังสือให้ลูกฟังเยอะๆ
ดังนั้นการรับเด็กนักเรียนเข้ามาเรียนใน “Carroll Prep” จึงต้องเริ่มจากการพูดคุยสัมภาษณ์ผู้ปกครองถึงการเลี้ยงดู ก่อนว่าเหมาะสม กับการเรียน ของ “Carroll Prep” หรือไม่ เพราะหนึ่งใน คุณสมบัติที่จะต้องมีคือการอ่านนิทานให้ลูกฟังทุกวัน เพราะทางโรงเรียนจะไม่มีการบ้านให้เด็กทำ แต่จะใช้การอ่านในครอบครัวอย่างอบอุ่นเพื่อกระตุ้นให้เด็กรู้สึกว่าการอ่านมีความสุขและอยากอ่านด้วยตนเอง เพราะในหลาย ๆ ครั้งที่ถามเด็กนักเรียนว่าทำไมถึงอยากเรียนเก่ง เด็กมักจะตอบว่าอยากทำให้พ่อแม่ภูมิใจซึ่งเด็กบางคน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เขากำลังสะกดคำเรียนรู้การสะกดคำ ไปเพื่ออะไร นั่นคือ สิ่งสำคัญ ที่ทำให้ “Carroll Prep” อยากที่จะกระตุ้นการอยากเรียนรู้ของเด็กด้วยตนเองก่อน แล้วหลังจากนั้นสิ่งอื่นๆจะตามมา เองโดยที่ผู้ปกครองและครูไม่ต้องพยายามอะไรมาก
ในแต่ละโปรเจคการเรียนรู้ ของ Carroll Method ครูทุกคน จะต้องมีส่วนร่วม ในการวางแผน โปรเจคต่าง ๆ ว่าในแต่ละโปรเจคเด็ก ๆ จะต้องเรียนรู้อะไรบ้าง โดยมีการประชุมครูทุกคน และช่วยกัน ออกแบบโปรเจคให้เหมาะสมกับทักษะที่เด็ก ๆ จำเป็นจะต้องเรียนรู้ โดยในแต่ละโปรเจค จะต้องมีหลายวิชารวมอยู่ในโปรเจคเดียวกัน และจะต้องรวมไปถึง การกระตุ้นพัฒนาการของเด็กๆอย่างสมวัย จากประสบการณ์จริง
จากการที่นำเอาทักษะทุกทักษะ มารวมอยู่ในโปรเจคเดียว เพื่อให้เด็กได้ทำกิจกรรม จึงทำให้เด็กๆไม่จำเป็นที่จะ ต้องใช้เวลาในการเรียน ตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น ดังนั้น เด็กสามารถทำกิจกรรม1 หรือ 2 โปรเจคก็สามารถได้การเรียนรู้ในทุกทักษะวิชาครบตามที่ควรจะเป็น
คุณพนิดา ยังกล่าวด้วยว่าส่วนตัวมองว่าการเรียนการสอนในปัจจุบันในห้องเรียนที่แยกเป็นรายวิชา ไม่สามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน และไม่สามารถนำไปแก้ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในชีวิตจริง และด้วยในปัจจุบันวิทยาศาสตร์และวิทยาการต่างๆ รวมถึงงานวิจัยจำนวนมาก ที่ค้นพบว่าเด็กสามารถเรียนรู้ได้ดี โดยผ่านกิจกรรม หรือวิธีการรวมไปถึงเครื่องมือต่างๆ ได้อีกมากมาย เพียงแต่ว่าการเรียนการสอนในประเทศไทยในปัจจุบัน ยังไม่มีการนำสิ่งเหล่านี้มาใช้ และส่วนตัวมีความเชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์และเห็นถึงผลว่าสามารถนำมา ใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริง และในประเทศอื่นหลายประเทศนำมาใช้กันนานแล้ว
Caroll Method ถึงแม้จะมีความยากบ้างในช่วงของการเริ่มต้นและมีความยาก ในเรื่องของจำนวนคนที่ต้องใช้บุคลากรมากกว่าการเรียนการสอนทั่วไปแต่ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาถือว่าคุ้มค่ามากกว่ากับสิ่งที่เด็กนักเรียนได้รับ เพราะ “Carroll Prep” มุ่งหวังที่จะเก็บความรัก ความสุข ในการเรียนรู้ของเด็ก ๆ ที่มีมาตั้งแต่เกิดนั้นเอาไว้ ทำให้เด็ก ๆ อยากมาโรงเรียนในทุก ๆ วัน รักการเรียนรู้ ชอบศึกษาค้นคว้า ทำให้เด็ก ๆสามารถเรียนรู้ได้เองอย่างไม่รู้จบ
การเรียนการสอนของ “Carroll Prep” จะสอนด้วยภาษาไทย 40% ภาษาอังกฤษ 40% และ ภาษาอื่นๆ (จีนและเสปน) 20% มีการเรียนการสอนกันแบบ Open Classroom ห้องเรียนจะเปิดกว้าง ไม่มีผนังกั้นแยกระดับชั้น เด็ก ๆ ในช่วงอายุที่ไม่ห่างกันมาก จะได้มีโอกาสทำงานร่วมกัน เรียนรู้ทักษะทางสังคม เหมือนการทำงานในชีวิตจริงที่เราจะต้องเจอกับเพื่อนร่วมงานหลากหลายอายุ และทำงานร่วมกันให้ได้
อาคารเรียนของ “Carroll Prep” เป็นการออกแบบโดยคุณจอร์จ แคร์โรลล์ ผู้ก่อตั้ง อาคารเรียน 4 ชั้น มีห้องเรียนที่ถูกออกแบบให้เป็นครูตัวจริงของนักเรียน ที่มีคุณครูเป็นเพื่อนร่วมเรียนในห้องกับเด็ก มีการออกแบบให้ทุกจุดกระตุ้นให้เด็กอยากเรียนรู้ตัวตัวเอง เชื้อเชิญให้เด็กอย่างเข้าไปเรียน และอยากให้โรงเรียนเป็นพื้นที่ที่มีศิลปะมีความสวยงามเต็มไปด้วยหนังสือสำหรับเด็กๆ ทำให้เด็กๆ รู้สึกปลอดภัย กระตุ้นจินตนาการ