ความเป็น VERSO อาจนิยามได้ด้วยคำว่า โรงเรียนที่สอนผ่านการเล่น และทำโครงงาน (Project-based Learning) และโรงเรียนที่เตรียมความพร้อมให้นักเรียนสำหรับการทำงานและการใช้ชีวิตในอนาคต ซึ่งคำนิยามเหล่านี้ไม่ได้มาจากโรงเรียน แต่มาจากประสบการณ์และความรู้สึกของผู้ปกครองและนักเรียน VERSO เอง
ด้วยความที่ใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษมาครึ่งค่อนชีวิต ‘คุณวีร์ จารุนันท์ศิริ’ ผู้บริหารด้านการเงินแห่ง Grab Thailand จึงอยากให้ลูกทั้งสอง ‘ไทเลอร์-วีร์กานต์ และไรเคอร์-กานตวีร์’ ได้ซึมซับวัฒนธรรมไทย แต่เมื่อไทเลอร์เข้าเรียนในโรงเรียนไทยที่มีการสอนเป็นภาษาอังกฤษก็พบว่าเด็กวัยอนุบาลต้องทำการบ้านเยอะมากและต้องท่องจำตามตำรา เพื่อจะปกป้องความไร้เดียงสา และศักยภาพของสมองของลูกๆ คุณวีร์และภรรยา ‘คุณโฟร์โมสต์-กองกานต์ จารุนันท์ศิริ’ จึงพบว่าคำตอบที่ต้องการอาจเป็นโรงเรียนที่มีหลักสูตรการสอนที่มีความแตกต่างจากโรงเรียนทั่วไป และเมื่อได้เข้ามาพูดคุยกับครู (Learning Designer) ที่ VERSO แล้ว ทั้งไทเลอร์และไรเคอร์ จึงเข้ามาเป็นนักเรียนที่ VERSO International School
“แนวคิดของโรงเรียนเป็นสิ่งใหม่ที่น่าจะใกล้เคียงกับการทำงานทุกวันนี้ที่ใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรมมากขึ้น ดังนั้นจึงไม่ใช่ว่าต้องเรียนเก่งได้เกรด 4.00 จึงจะประสบความสำเร็จ แต่คนทำงานในยุคสมัยใหม่ยังต้องมีทักษะอีกหลายด้าน เช่น ความคิดสร้างสรรค์ การวิเคราะห์ การทดลอง กล้าเสี่ยง พอได้คุยกับคุณครูที่ VERSO จึงคิดว่าน่าจะตอบโจทย์ ไม่เฉพาะแต่กับลูกของผม แต่เหมาะกับคนทำงานในอนาคตด้วยครับ” คุณวีร์ ผู้บริหาร Grab กล่าว
“เราศึกษาหลักสูตรของ VERSO ที่เป็นแบบ Competency-based มีการเรียนการสอนแบบ learn by play และพบว่ามีโรงเรียนแบบนี้น้อยมากในโลก เช่น โรงเรียนในเนเธอร์แลนด์ แม้จะเป็นสไตล์ใหม่แต่พอให้ลูกมาเรียนแล้วเหมือนพลิกจากดำเป็นขาวเลยครับ จากที่ลูกเครียดกลับมาบ้าน การบ้านเยอะ แต่ที่นี่เด็กจะได้เรียนผ่านการเล่น อย่างหนึ่งที่ผมประทับใจมาก ตอนนั้นไรเคอร์อยู่อนุบาล 3 หรือ Early Years 5 ผมสงสัยว่าเขาอ่านออกหรือเปล่า เพราะเขาไม่มีหนังสือมาอ่านที่บ้านเลย แต่วันหนึ่งจู่ๆ เขาหยิบหนังสือมาอ่านเองเลยครับ” คุณวีร์กล่าวอย่างทึ่งๆ คุณโมสต์จึงเสริมขึ้นว่า “ลูกไม่เคยพูดคำว่า ‘วันนี้ครูสอน…’ แต่จะเล่าว่า ‘วันนั้นทำกิจกรรมนี้ ทำโปรเจกต์นั้น’ เขาเรียนรู้ผ่านการลงมือทำมากกว่าค่ะ”
‘เพราะการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงเป็นเรื่องที่สำคัญ
ในฐานะของพ่อแม่เราเล็งเห็นว่า VERSO เป็นโรงเรียนที่เตรียมความพร้อม
ให้นักเรียนสำหรับการทำงานและการใช้ชีวิตในอนาคตอย่างแท้จริง’
ความเปลี่ยนแปลงแบบพลิกผันที่เห็นได้ชัดในตัวลูกยังมีมาเรื่อยๆ ให้คุณพ่อ คุณแม่ปลื้มใจ ดังที่คุณโมสต์เล่าต่อว่า “เราเห็นพัฒนาการลูกเรื่องการจัดเวลาเองได้ชัดมากค่ะ อย่างกลับถึงบ้านเขาจะเอาเสื้อผ้าไปใส่ตะกร้าก่อนแล้วค่อยไปเล่น 1 ชั่วโมง จากนั้นก็จะไปทำอย่างอื่นต่อไป แม้แต่วันหยุดเขาก็ยังจัดการเองว่าจะทำอะไร เขาบอกว่าจะอ่านหนังสือ 30 นาที หลังจากนั้นเป็นช่วงพัก ที่ VERSO เปิดอิสระให้เขาได้จัดการเรื่องเล็กๆ อย่างตารางเวลาได้เอง โดยที่พ่อแม่และครูไม่ต้องบอก เด็กเลยมี micro management ในตัวเอง เขากล้าคิด กล้าพูด”
เห็นความเปลี่ยนแปลงมากขึ้นเรื่อยๆในตัวลูก ซึ่งคุณวีร์กล่าวว่าเป็นผลมาจากการสื่อสารระหว่างบ้านและโรงเรียน “ผมเชื่อว่าไม่ใช่โรงเรียนที่เดียวที่จะทำให้เด็กดีขึ้นได้ ผู้ปกครองต้องช่วยด้วย เราจะอีเมลคุยกับครูบ่อยมาก ถ้าพ่อแม่ไม่คุยกับโรงเรียนว่าเด็กควรพัฒนาทางไหน เด็กก็ไปไม่ได้ครับ ซึ่งที่ VERSO มี Coffee Morning ให้พ่อแม่ได้มาคุยกับครู พ่อแม่กับครูส่งอีเมลคุยกันได้ตลอด เหมือนเราได้อยู่กับเด็กตลอดเวลา เช่น ตอนนี้ห้องสมุดได้หนังสือใหม่มาเล่มหนึ่ง ขอให้พ่อแม่คุยกับลูกหน่อยว่าหนังสือเป็นยังไงบ้าง เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้สำคัญนะครับ เด็กอยู่โรงเรียน 6 ชั่วโมง แต่อยู่บ้าน 18 ชั่วโมง ถ้าเราปล่อยให้ลูกอยู่กับไอแพดก็ไม่ได้อะไร พ่อแม่และโรงเรียนจึงต้องไปด้วยกันครับ”
นักเรียนเก่าอังกฤษทำหน้าเศร้าก่อนกล่าวว่า “ผมอิจฉาลูกมากเลย ตั้งแต่การดูแลเด็ก อาหาร กิจกรรม สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ สนามบาส คอร์ตเทนนิส สนามกีฬา สระว่ายนํ้าต่างๆ สวยงามมาก ดีกว่าโรงเรียนในอังกฤษที่ผมเรียนมาเยอะเลย
“หลังจากโควิดผมหวังว่าเด็กน่าจะได้ใช้สิ่งต่างๆ ในโรงเรียนมากขึ้นครับเพราะ VERSO เปิดในช่วงโควิดพอดี เด็กเพิ่งเข้ามาเรียนได้ 1 ปี แต่จากสิ่งที่ผมเห็นพัฒนาการของลูกก็คิดว่ามีแนวโน้มที่ดีมากครับ ทั้งสไตล์การเรียนการสอน
สถานที่ รวมทั้งตัวครูด้วย ผมคิดว่าทุกอย่างรวมกันแล้วจะช่วยเตรียมความพร้อมให้เด็กไปสู่โลกภายนอกได้ สไตล์บริษัทสมัยนี้จะให้อำนาจ และ empowering ให้กับลูกน้อง ผมบริหารแบบ serving leader คุณต้องการอะไร ผมจะช่วยหาให้ คนทำงานต้องกล้าลอง ผิดไม่เป็นไร หาให้เจอว่าผิดตรงไหนแล้วแก้ไข สตาร์ทอัพหรือบริษัทต่างๆ ทำงานสไตล์นี้ ซึ่งการเรียนการสอนที่ VERSO ก็เป็นไปในทางเดียวกับโลกการทำงานสมัยใหม่เลยครับ”
ฟังความคิดเห็นจากผู้ปกครองไปแล้ว แต่ใครจะรู้ดีไปกว่าตัวเด็กที่เป็นคนเรียนหลักสูตรสไตล์ใหม่ของ VERSO HELLO! Education จึงฟังความเห็นจาก ‘น้องแสนดี-พัฑฒิดา เทมเลิศบุญ’ และ ‘น้องโซโล-สุทธีอิสริยะกุล เมลเซอร์’ นักเรียนทุน (Talent Scholarship) วัย 14 ปีที่กำลังศึกษาอยู่เกรด 9 ที่ VERSO International School
ก่อนหน้านี้โซโลเรียนออนไลน์ที่เขาเล่าอย่างเห็นภาพว่า “ก็คือผมเรียนคนเดียวในห้อง มีแล็ปท็อปเครื่องหนึ่ง ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับใครๆ เลย ผมเรียนคนเดียวมาตลอด ซึ่งไม่ใช่การเรียนที่สนุกหรอกครับ” แต่โซโลสนุกกับการเรียนขึ้นมากหลังจากมาเป็นนักเรียน VERSO “พอมาเรียนที่ VERSO ผมรู้สึกว่าได้เปิดรับโอกาสใหม่ๆมากมายเลย ได้สื่อสารกับคนอื่นๆ อย่างอาทิตย์ก่อนเราไปทัศนศึกษานอกสถานที่ประจำสัปดาห์ ซึ่งที่นี่จะเรียกว่า Beyond the Walls ครับ โรงเรียนทั่วไปเราจะไม่ได้ทำแบบนี้กันหรอกครับ นักเรียนก็ได้เรียนแต่ในตำราโดยที่ไม่รู้ว่าจะเอาความรู้ไปใช้ในชีวิตจริงอย่างไร VERSO ก็เลยทำให้นักเรียนได้เปิดโลกทัศน์กว้างไกลขึ้น ผมรักโรงเรียนนี้มากครับ”
แสนดีเคยผ่านโรงเรียนนานาชาติหลักสูตรอังกฤษมาก่อน แต่เธอกระตือรือร้นไปหมดทุกคลาสเรียนที่ VERSO เพราะหลักสูตรที่ไม่เหมือนที่ไหน “โรงเรียนนี้เป็น project-based ที่นักเรียนจะได้เรียนรู้ผ่านการปฏิบัติโครงงานต่างๆซึ่งทำให้เราใช้ความคิดอย่างสร้างสรรค์มากขึ้นค่ะ เช่น ตอนเราเรียนเลข ปกติก็จะเรียนไปตามที่ครูสอน จำสูตรให้ได้แล้วก็ทำโจทย์ไป แต่ VERSO เราจะทำความเข้าใจหัวข้อต่างๆ ที่เรียนแบบลงลึกในแบบของเราเอง ครูจะให้เราคิดเอง ไม่ได้จำตามที่ครูสอน เราก็เลยจะได้ผนวกเอาหลายๆ วิชาเข้าด้วยกันค่ะ เช่น เราอาจจะได้เรียนประวัติศาสตร์ ภาษาอังกฤษและวิทยาศาสตร์ ซึ่งหนูว่าเรียนแบบนี้สนุกมากเลยค่ะ เราได้ทำความเข้าใจหลายๆศาสตร์” โซโลยกตัวอย่างการคิดนอกกรอบที่ทำให้ได้เป็นนักเรียนทุนว่า “การจะได้ทุนการศึกษา เราต้องเขียนเรียงความและส่งวิดีโอคลิปเกี่ยวกับตัวเอง ผมพยายามคิดนอกกรอบก็เลยแต่งแร็พชื่อ VERSO Kid ว่าโรงเรียนสำคัญกับผมอย่างไร ผมคิดอย่างไรกับโรงเรียนครับ”
ทั้งสองพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่ได้มาเรียนที่ VERSO ก็คือการได้เป็นเวอร์ชั่นที่ดีขึ้นของตัวเอง “หนูได้ทำโครงงานธุรกิจกับ ‘คุณเศรษฐา ทวีสิน’ ซีอีโอแสนสิริ หนูส่งอีเมลไปว่าอยากเชิญท่านมาพูดที่โรงเรียนและท่านก็มาจริงๆ หลังจากนั้นคุณเศรษฐายังชวนหนูไปพูดในพอดแคสต์ของท่านด้วยค่ะ หนูปลื้มมากเลย เพราะหนูรู้ว่าเขางานยุ่งมากแต่ก็ยังตอบอีเมลหนู มาพูดถึงประสบการณ์ในการทำธุรกิจ มาตอบคำถามนักเรียนที่ VERSO หนูสนใจธุรกิจและอยากเป็นหมอ (หัวเราะ) หนูคิดว่าตัวเองได้สำรวจแพสชั่นรอบด้าน ได้เพิ่มทักษะหลายๆ อย่างให้ตัวเอง เผื่อว่าในอนาคตหนูอาจจะไม่ได้เป็นหมอ หนูก็ยังทำตามแพสชั่นอื่นๆ ได้ค่ะ
‘สิ่งที่ดีที่สุดที่ได้มาเรียนที่ VERSO International School
ก็คือการได้เป็นเวอร์ชั่นที่ดีขึ้นของตัวเอง’
“หนูภูมิใจกับทุกโปรเจกต์ที่ทำเลยค่ะ มีช่วงหนึ่งที่หนูเรียนออนไลน์ตอนที่อยู่เชียงใหม่ หนูติดต่อมูลนิธิ Warm Heart Foundation ซึ่งจะรับเด็กชนเผ่ามาแล้วจัดหาที่อยู่ อาหาร และการศึกษา แล้วพอปิดเทอมหน้าร้อน เด็กๆ ก็จะกลับไปบ้าน ตอนที่หนูอยู่เชียงใหม่ หนูจะไปสอนภาษาอังกฤษให้เด็กๆ ทุกสัปดาห์ แล้วหนูก็คิดว่าหนูน่าจะให้อะไรเด็กๆ ได้มากกว่าแค่สอนภาษาอังกฤษ หนูเลยช่วยจัดกิจกรรมระดมเงินทุน โดยนักเรียน VERSO จะถามคำถามเด็กๆ ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งในการสอนภาษาอังกฤษ ซึ่งกานดา น้องผู้หญิงอายุ 6 ขวบ บอกว่าชอบเอลซ่า หนูเลยให้เด็กๆทุกคนบอกถึงความปรารถนาที่อยากได้ 3 ข้อในวันคริสต์มาส แล้วหนูก็มาบอกต่อกับนักเรียนที่ VERSO เราช่วยกันจัดหาของขวัญที่เด็กๆ อยากได้ กานดาก็เลยได้ของเล่นเป็นเอลซ่าค่ะ หนูคิดว่าการให้สิ่งที่ทุกคนอยากได้จริงๆ และเป็นของขวัญด้วยน่าจะมีความหมายต่อจิตใจมากๆ เลยค่ะ”
โซโลเองก็บอกว่าโรงเรียนทำให้สิ่งที่เขาไม่เคยสนใจมาก่อน กลับกลายเป็นสิ่งที่เขาสนใจมากๆ ไปได้ “ก่อนหน้านั้นผมรู้สึกแค่ว่าผมชอบประดิษฐ์ของด้วยมือ แต่พอได้ทำโปรเจกต์โซล่าร์เซลล์ ผมเริ่มสนใจวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์ไปจนถึงแง่มุมทางเศรษฐศาสตร์ของโซล่าร์เซลล์ด้วย ผมได้ตระหนักว่านี่ละคือสิ่งที่ผมอยากทำครับ ตอนนี้ผมสนใจเรื่อง Biomimicry เราจะใช้ธรรมชาติเป็นแรงบันดาลใจ และใช้วิธีการทางวิศวกรรมศาสตร์มาแก้ปัญหา เช่น เรียนรู้เกี่ยวกับชีววิทยาและสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อแก้ปัญหาโลกร้อนครับ”
เพราะคุ้นชินกับการคิดสร้างสรรค์โปรเจกต์ใหม่ๆ ที่โรงเรียนอยู่ตลอดเวลา ทั้งแสนดีและโซโลยังใช้ทักษะของนักลงมือทำมาช่วยเหลือมูลนิธิเพื่อเด็กและเยาวชน Thai Child Development Foundation (TCDF) ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อดูแลเด็กด้อยโอกาสและเด็กพิเศษที่อาศัยอยู่ในพื้นที่อำเภอพะโต๊ะ จังหวัดชุมพร อีกด้วย “เราสองคนทำโปรเจกต์นี้ด้วยกันค่ะ แต่ไม่ได้เป็นคนริเริ่ม ตอนนั้นเป็นช่วงโควิด มีนักเรียนเยอะมากที่ไม่มีเงินซื้อชุดนักเรียน พวกเราก็เลยคิดจัดกิจกรรมระดมทุนขึ้นมา โดยเราส่งอีเมลไปหา Chris Parker ซึ่งเป็น Youtuber ที่มีผู้ติดตามมากที่สุดในประเทศไทย เขาตอบตกลงจะช่วยเราในทันที คริสขับรถจากสมุยมาที่ชุมพรเพื่อมาถ่ายทำวิดีโอบอกเล่าเรื่องราวของเด็กๆ ที่มูลนิธิ และมีคนช่วยบริจาคเงินมากถึง 400,000 บาทค่ะ” แสนดีเล่าอย่างประทับใจไม่ลืม
“ผมคิดว่าการเรียนการสอนที่ VERSO ลํ้ามาก สำหรับผู้ปกครองบางคนก็อาจจะรู้สึกงงๆ นิดหน่อย เพราะหลักสูตรที่นี่
แตกต่างจากโรงเรียนทั่วไปครับ แต่ส่วนตัวแล้วผมคิดว่าโรงเรียนให้ประสบการณ์ที่ไม่มีที่ไหนให้ได้มาก่อน นักเรียนได้มีส่วนร่วมกัน มีอิสระในตัวเองแต่ก็ใส่ใจกัน และสภาพแวดล้อมในโรงเรียนก็ปลอดภัยมาก รู้สึกว่าได้รับการดูแลใส่ใจตลอดเวลา แถมมีกิจกรรมให้ทำเยอะมากเลยครับ” โซโลเผยความรู้สึกของการเป็นนักเรียน VERSO “โรงเรียนนี้เปิดให้นักเรียนคิดถึงเรื่องอนาคตเยอะมากเลยครับ” แสนดีกล่าวต่อ “เราคิดว่าอยากให้อนาคตเป็นแบบไหน คิดว่าอะไรคือสิ่งที่โลกในอนาคตต้องการ ที่นี่เป็นโรงเรียนที่เตรียมความพร้อมให้กับนักเรียนให้พร้อมจะก้าวไปสู่อนาคตได้ค่ะ”