เผยแพร่: ปรับปรุง: โดย: ผู้จัดการออนไลน์
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการศึกษาแนวทางการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ ตามที่กระทรวงยุติธรรมศึกษาแนวทางการจัดตั้งนิคมฯ โดยผลการศึกษาแนวทางการจัดตั้งนิคมฯ เพื่อแก้ปัญหาผู้ต้องขังล้นเรือนจำ เพื่อฝึกทักษะอาชีพ พัฒนายกระดับฝีมือแรงงาน และสร้างผู้พ้นโทษให้เป็นผู้ประกอบการรายใหม่ รวมทั้งเป็นการสร้างอาชีพในอนาคตเพื่อลดจำนวนอัตราการกระทำผิดซ้ำของผู้ต้องขัง โดยกลุ่มเป้าหมายคือผู้พ้นโทษและผู้อยู่ระหว่างพักการลงโทษหรือลดวันต้องโทษ
สำหรับแนวทางการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ได้แก่ การพัฒนานิคมอุตสาหกรรมภายนอกเรือนจำโดยร่วมกับ กนอ. (ที่ราชพัสดุของหน่วยงานอื่น) การจัดตั้งนิคมฯ ภายในพื้นที่เรือนจำ (ที่ราชพัสดุของกรมราชทัณฑ์) และการใช้พื้นที่เอกชนเป็นนิคมฯ หากยังมีพื้นที่ว่างที่ยังเหลืออยู่ โดยมีพื้นที่นำร่องต้นแบบ 4 แห่ง ได้แก่ เรือนจำจังหวัดสมุทรสาคร (เรือนจำชั่วคราวบางหญ้าแพรก) เรือนจำกลางชลบุรี (เรือนจำชั่วคราวบ้านบึง) เรือนจำกลางสมุทรปราการ (เรือนจำชั่วคราวคลองด่าน) และเรือนจำกลางระยอง (เรือนจำชั่วคราวเขาไม้แก้ว) โดยภาครัฐจะให้การสนับสนุนคัดเลือกผู้ประกอบธุรกิจที่เน้นนวัตกรรม แรงงานใช้ฝีมือและรูปแบบธุรกิจที่ทันสมัย พร้อมให้สิทธิประโยชน์ เพื่อให้เกิดแรงจูงใจของภาคธุรกิจในการร่วมลงทุนแก่ผู้ประกอบการภาคเอกชน ทั้งนี้ ที่ประชุมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการจัดตั้งนิคมฯ โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า ต้นทุน ผลประโยชน์ เสถียรภาพ และความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงเพิ่มเติมว่า การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ มีจุดมุ่งหมายที่จะสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ผู้พ้นโทษ สร้างอาชีพในอนาคต โดยตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนาและส่งผู้ที่ได้รับการพักการลงโทษเข้าไปทำงานในสถานประกอบการให้ได้จำนวน 16,000 คนต่อปี ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับงบประมาณที่ภาครัฐจะต้องใช้ในการดูแลผู้ต้องขังที่อยู่ในเรือนจำ เฉลี่ย 21,000 บาทต่อคนต่อปี จะทำให้ภาครัฐประหยัดงบประมาณที่ใช้ดูแลผู้ต้องขังในเรือนจำประมาณ 336 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ ยังสร้างความมั่นคงทางแรงงานให้แก่ผู้ประกอบการด้วย