ครูใหญ่ มายด์ เบนจา ขึ้นเวทีหมู่บ้านทะลุฟ้า ย้อนเล่าชีวิตก่อน ‘ตาสว่าง’
เมื่อวันที่ 21 มีนาคม ที่หมู่บ้านทะลุฟ้า ถนนพระรามที่ 5 ข้างทำเนียบรัฐบาล กลุ่ม People Go Network และราษฎร ร่วมกับกลุ่ม ‘ศิลปะปลดแอก’ จัดงาน ‘ราษฎรชนะมาร์เก็ต’ โดยมีกิจกรรมต่างๆ อย่างคึกคักตั้งแต่ช่ววเย็น
อาทิ นำโบหรือกุญแจสีดำมาร่วมสร้างงานศิลปะ, ร่วมกันผูกโบหรือกุญแจสีดำ บริเวณรั้วลวดหนามสะพานอรทัย เพื่อแสดงความไว้อาลัยให้กับตำรวจไทย และกระบวนการยุติธรรม, นำของที่ไม่ใช้มาแลกเปลี่ยนในโซน ‘คนละครึ่ง’ รวมถึงกิจกรรมกินทะลุฟ้ากับประชาธิปไตยทางอาหาร เพื่อแสดงจุดยืนทางการเมือง เป็นต้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงค่ำ เวลาประมาณ 19.15 น. ผู้ชุมนุมร้องเพลงอวยพรวันคล้ายวันเกิด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยเนื้อหามีลักษณะล้อเลียนเสียดสี
จากนั้น มีการเสวนาบนเวที หัวข้อ “ก้าวแรกคือชัยชนะ ก้าวอย่างสม่ำเสมอคือการต่อสู้” โดยนางสาวเบนจา อะปัน แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม, นายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือครูใหญ่ ขอนแก่น และนางสาวภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล หรือมายด์ รวมถึงนายสิรภพ อัตโตหิ หรือแร็ปเตอร์ จากกลุ่มเสรีเทยพลัส ดำเนินรายการโดยนายธัชพงศ์ แกดำ หรือบอย
ในตอนหนึ่ง น.ส.เบนจา เล่าถึงวีรกรรมเมื่อครั้งเรียนมัธยมศึกษาที่จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งตนตั้งคำถามกับการศึกษา มีการทำหนังสือถึงผู้อำนวยการโรงเรียน แต่นอกจากปัญหาไม่ได้รับการแก้ไขแล้ว ยังถูกเรียกไปอบรมอีกด้วย นอกจากนี้ยังกล่าวถึงประเด็นรัฐสวัสดิการ ซึ่งเป็นทางออกให้เด็กทุกคนทำตามความฝันด้านอาชีพของตัวเองได้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการยังขีพในอนาคต
“ไม่สนใจว่าจะโดนจับ ขอให้ได้ออกมาเคลื่อนไหว ถามว่ากลัวไหม กลัวว่าจะได้ออกมาสู้ไหม ไม่เคยเสียใจที่โดนคดีหรือทำกิจกรรมตรงนี้ เราจำเป็นต้องเอาความยุติธรรมคืนมา ต่อให้ถูกจับ แต่เชื่อว่ายังมีหลายคนพร้อมออกมาสู้เหมือนเรา” น.ส.เบนจากล่าว
นางสาวภัสราวลี หรือมายด์ กล่าวถึงประเด็นศักดิ์ศรีความเท่าเทียมของอาชีพ เช่น นางโชว์ ถือเป็นงานศิลปะ ไม่ควรได้รับการดูถูก ตนก็เคยตั้งวงดนตรีของตัวเอง รับหน้าที่ร้องนำ สมัยมัธยม อยากเรียนสายศิลป์-ภาษาฝรั่งเศส แต่คะแนนสามารถไปทางสายวิทยาศาสตร์ได้ ต่อมาสอบติดคณะวิศวกรรมศาสตร์ ทางครอบครัวบอกว่าไหนๆ ก็ติดแล้ว เสียดาย อย่าทิ้งเลย จึงต้องเรียนวิศวะ
“ครั้งแรกที่ได้รับหมาย ทำความเข้าใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่ามีต้นทุนที่ต้องจ่าย รัฐทำทุกวิถีทางในการดำรงอำนาจ เห็นหมายครั้งแรก สิ่งที่รู้สึกคือมันเริ่มต้นขึ้นแล้ว เราแน่วแน่กับการต่อสู้ว่าจะเดินอย่างไร เราคาดการณ์และเตรียมพร้อม พอมาถึงปัจจุบัน ด้วยความยุติธรรที่บิดเบี้ยว เมื่อไหร่มีความไม่เป็นธรรม ในฐานะคนไทย เราต้องสามารถวิจารณ์ได้ว่าควรแก้ไขอย่างไร ไม่จำเป็นต้องท้อ กลัว หรืออ่อนแรง” น.ส.ภัสราวลีกล่าว
นายอรรถพล หรือครูใหญ่ กล่าวว่า ตนเป็นเด็กดีในระบอบการศึกษา เป็นนักเรียนดีเด่น เป็นประธานนักเรียน พูดไปคนอาจไม่เชื่อ แต่เรียบร้อยมาก เพิ่งตาสว่างตอนอายุเกือบ 30 ต่างจากเบนจาที่ตาสว่างตั้งแต่ 9 ขวบ
นายอรรถพล กล่าวอีกว่า พ่อแม่ตนเป็นครูประชาบาล มีหน้ามีตาในสังคม ได้รับการปลูกฝังว่าต้องเป็นครู เป็นข้าราชการ ต่อมา เมื่อเรียนมหาวิทยาลัย จากที่อยู่ในกรอบมาตลอดก็เริ่มเที่ยว เสเพล ปลดปล่อยความเป็นตัวเอง ไว้ผมยาวถึงกลางหลัง ไว้หนวด ทัดดอกปีบ สวมกางเกงขาก๊วยสีแดง สะพายย่าม สวมรองเท้าแตะที่ขอมาจากถังสังฆทาน เมื่ออาจารย์สอบถามเรื่องการแต่งกาย ตนถามกลับไปว่า อาจารย์จะสอนเสื้อผ้า หรือสอนตน อาจารย์ไม่ตอบ แต่ขานชื่อตนเป็นคนแรกในทุกคาบ
“ตอนโดนหมายครั้งแรก เป็นหมายจับเลย มาจาก สน.ปทุมวัน ตอนดูหนัง เขาบอกว่าที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ซึ่งปลอดภัยที่สุด ผมเลยไปอยู่โรงแรมติด สน.ปทุมวัน หลังจากนั้นยังมีหมายมาเรื่อยๆ ตอนนี้ 10 กว่าหมายแล้ว รวมถึงวันที่ 25 มีนาคมนี้ที่ต้องไปรายงานตัว เป็นคดีตามมาตรา 112
“บางคนบอกว่าสู้มาเป็นปีไม่เห็นได้อะไร รัฐบาลยังอยู่เหมือนเดิม รัฐธรรมนูญฉบับเดิม แต่อยากให้ความหวังว่าที่นั่งกันอยู่ตรงหน้าเวทีตรงนี้ มีคนที่สู้มาตั้งแต่เดือนตุลา พฤษภา 35 เมษา-พฤษภา 53 ทุกวันนี้เขาก็ยังสู้ เราจะท้อได้อย่างไร
“การบอกว่าการต่อสู้ครั้งนี้ไม่สำเร็จ เป็นการด่วนสรุปเกินไป เราเด็ดดอกไม้ไปแล้วกี่ดอก สะเทือนดาวมาแล้วกี่ดวง ถ้าเราไม่สู้ อย่าหวังเลยว่าจะมีการพูดในหลายประเด็นในสภา สิ่งยิ่งใหญ่การต่อสู้ย่อมยาวนาน” นายอรรถพลกล่าว
นายธัชพงศ์ เล่าว่า สมัยมัธยม ตนเรียนหนังสือที่โรงเนียนวัดเบญจมบพิตร แต่ต่อมามามีปัญหาชีวิตจึงย้ายไปที่จังหวัดระยอง แล้วเรียนภาษารัสเซียที่มหาวิทยาลับรามคำแหง ทุกวันนี้พูดไม่ได้ ที่สอบผ่านเพราะใช้เทคนิคการติว