ครูสอนประวัติศาสตร์และสังคมศึกษาล้างสมองนักเรียน โดยการฉีดยาพิษใส่สมองบิดเบือนข้อมูลทางประวัติศาสตร์โจมตีใส่ร้ายทำลายชื่อเสียงเกียรติภูมิพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ รัฐบุรุษ และอดีตประธานองคมนตรีสองแผ่นดินแบบตีวัวกระทบคราดไปถึงสถาบันสูงสุดของชาติ ที่เป็นข่าวใหญ่อยู่ทุกวันนี้
มันเป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็งแห่งความชั่วร้ายที่โผล่ขึ้นมาประจานความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารการจัดการศึกษาตลอดถึงการละเลยของรัฐบาล ที่ปล่อยให้เหตุการณ์บานปลายมาได้ถึงเพียงนี้
การฉีดยาพิษใส่สมองเยาวชนในสถาบันการศึกษามีมานานแล้วในมหาวิทยาลัยต่างๆ แต่การล้างสมองเยาวชนให้เกลียดชังสถาบันฯในระดับชั้นมัธยมและชั้นประถมนั้นมันเกิดขึ้นพร้อมๆ กับการก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ ที่นักวิชาการในคราบนักการเมืองสมคบกับครู และโรงเรียนที่มีความคิดชั่วร้ายมุ่งทำลายสถาบันฯ จัดการให้นักการเมืองเข้าไปล้างสมองเด็กตั้งแต่ปี 2561 จำได้ว่าสิ่งชั่วนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในจังหวัดฉะเชิงเทรา (เสียดายที่จำชื่อโรงเรียนไม่ได้) และต่อมานักการเมืองจากพรรคอนาคตใหม่ก็เข้าไปล้างสมองเด็กในจังหวัดมหาสารคาม
ในเวลานั้นหลายฝ่ายเตือนรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการในโควตาพรรคพลังประชารัฐว่า ถ้าปล่อยให้มีการล้างสมองเด็กด้วยข้อมูลชั่วร้ายอย่างนี้ อย่ามีรัฐมนตรีเสียเลยดีไหมหรือไม่ก็รัฐมนตรีศึกษา ควรลาออกแต่แทนที่จะสำเหนียกรัฐมนตรีศึกษากลับออกมาต้อนรับนักเรียนเลว กล่าวคือมีนักเรียนจริงเพียงบางส่วนสมคบกับผู้ใหญ่ที่พ้นวัยเรียนชั้นมัธยมไปแล้วตั้งกลุ่มขึ้นมาเรียกตัวเองว่า “กลุ่มนักเรียนเลว” มีนักเรียนจริงไม่กี่คน แต่ส่วนใหญ่มีผู้หญิงที่พ้นวัยเรียนแล้วแต่งชุดนักเรียนมาประท้วงที่กระทรวงศึกษา รัฐมนตรีศึกษาฯออกมาต้อนรับยิ้มระรื่นปล่อยให้เด็กนักเรียนเลวเปิดเครื่องขยายเสียงด่าระบบการศึกษา และบางส่วนพาดพิงไปถึงสถาบันนานนับชั่วโมง
เหตุการณ์ชั่วร้ายที่เกิดขึ้นทุกครั้งกระทรวงศึกษาไม่เคยสอบสวนว่า ขบวนการนักเรียนเลวใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ใครจัดตั้งให้ นักเรียนเลวได้เงินมาจากไหนเช่ารถทำเวทีที่มีเครื่องขยายเสียงและเครื่องในการปลุกระดมทุกอย่าง เอาเงินมาจากไหนซื้ออาหารน้ำและอื่นๆมาบริการระหว่างการจัดกิจกรรม ที่อดกังวลไม่ได้คือกระทรวงศึกษาไม่เคยตรวจสอบว่าทำไมมีนักการเมืองจากพรรคอนาคตใหม่ พรรคเพื่อไทย พวกสามกีบ และ ไอลอว์ไปเป็นกองหนุนให้นักเรียนเลวตลอดเวลา
ดังนั้นเมื่อมีคลิปวีดีโอที่ครูหญิงคนหนึ่งโจมตีวิจารณ์พลเอกเปรมเสียๆหายๆ ในห้องเรียนชั้นมัธยมปีที่สี่ออกมา อย่าโทษครูและโรงเรียนนั้นอย่างเดียวว่า เป็นต้นเหตุความชั่วช้าเลวทรามบัดซบ ให้โทษกระทรวงศึกษาฯโดยเฉพาะรัฐบาลที่บริหารประเทศล้มเหลวโดยที่รัฐบาลไม่สนใจหรือเอาจริงเอาจังกับกลุ่มคนที่มีจุดหมายทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ และวัฒนธรรมอันดีงามของประเทศไทย
รัฐบาลที่มีหน่วยงานความมั่นคง มีกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ กอ.รมน. เป็นหน่วยงานของรัฐ มีสันติบาล มีกระทรวงการต่างประเทศอยู่ใต้บังคับบัญชา จะเป็นรัฐบาลที่โง่เขลาไม่รู้เลยหรือไงว่า พรรคการเมืองที่มีเป้าหมายทำลายสถาบันหลักของชาติจะทำเรื่องอย่างนี้ไม่ได้หากไม่มีต่างชาติและมหาอำนาจหนุนหลังให้ท้าย รัฐบาลเซ่อซ่าอย่างไรถึงไม่รู้ว่าภาคประชาสังคม เอ็นจีโอ แอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล โอเพ่น เฮ้าส์โซไซตี้ (Open house society)ของนายจอร์จ โซรอส ล้วนมีส่วนสัมพันธ์อย่างมีนัยกับพรรคการเมืองที่ล้างสมองเยาวชนอยู่ทุกวันนี้อย่างไร หากรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐยังไม่รู้เรื่องนี้ก็มีข่าวให้ดูเป็นตัวอย่าง
เมื่อวันที่ 29 พ.ย. ศาลพม่า ตัดสินจำคุกนายโบ โบงี รองผู้ว่าธนาคารกลางแห่งเมียนมา 20 ปี ฐานบกพร่องต่อหน้าที่ ไม่เก็บภาษีจากมูลนิธิโอเพ่นเฮ้าส์โซไซตี้ของจอร์จ โซรอส ทำให้ธนาคารเสียหาย 102 ล้านจ๊าดหรือประมาณ 48,500 ดอลลาร์สหรัฐ จากอากรแสตมป์ภาษี 360 ล้านจ๊าด หรือ171,000 ดอลลาร์ และทำให้รัฐเสียหายเพราะไม่เก็บภาษีจากมูลนิธิฝากเงินไว้ 5 ล้านดอลลาร์ และเสียหาย 655 ล้านจ๊าดหรือ 312,000ดอลลาร์ โดยไม่เรียกเก็บภาษี นอกจากนั้นยังทำให้รัฐเสียหายเพราะไม่เรียกเก็บภาษีเงินกู้ 350 ล้านดอลลาร์จากอเมริกาในอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าเหมือนกับอัตราที่เขาใช้กับสาขาสิงคโปร์ของธนาคารซูมิโตโม มิตซุย
ที่รองผู้ว่าธนาคารกลางถูกตัดสินจำคุกยี่สิบปี เพราะทางการเมียนมากำลังตรวจสอบเส้นทางการเงินขององค์กรโอเพ่นเฮ้าส์โซไซตี้เมียนมาเชื่อมโยงกับมูลนิธิของจอร์จ โซรอส ที่ต้องสงสัยว่าโอนเงินกว่า 40 ล้านบาทสนับสนุนขบวนการอารยะขัดขืนและกองกำลังติดอาวุธต่อต้านรัฐทหารเมียนมา โดยก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวลูกจ้างคนหนึ่งของมูลนิธินี้ไว้และกำลังตามหาตัวอีก 11 คนมาสอบสวน
นั่นเป็นเรื่องที่เกิดในประเทศเมียนมา มาเรียนรู้และศึกษาว่าประเทศอื่นเขาจัดการกลุ่มคนที่รับเงินต่างชาติมาทำลายความมั่นคงในประเทศอย่างไร
เมื่อปีกลายองค์กรนิรโทษกรรมสากล (Amnesty International) ประกาศระงับปฏิบัติการในอินเดียทั้งหมดหลังถูกอายัดบัญชีธนาคาร ซึ่งแอมเนสตี้อ้างว่าเป็นแผน “ล่าแม่มด” ของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี ซึ่งต้องการปิดกั้นการทำงานของนักสิทธิมนุษยชนในแดนภารตะ องค์กรเอ็นจีโอต่างร้องเรียนกันมานานว่าโดนข่มขู่คุกคามจากรัฐบาลฮินดูชาตินิยมของนายโมดี หลังจากที่พวกเขาพยายามตีแผ่ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในอินเดีย ซึ่งรวมถึงในดินแดนแคชเมียร์
ในประเทศกัมพูชาซึ่งอยู่ติดกับประเทศไทยทางทิศตะวันออก ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงหลังมานี้ทางการกัมพูชาได้เข้าไปตรวจสอบภาษี และการทำตามกฎระเบียบของกัมพูชาทั้งกลุ่มพิทักษ์สิทธิมนุษยชนและองค์กรต่างๆ นสพ.เดอะสเตรทส์ไทม์ส รายงานว่า รัฐบาลกัมพูชาประกาศปิดสถาบันประชาธิปไตยแห่งชาติ(เอ็นดีไอ) ซึ่งเป็นองค์กรเอ็นจีโอของสหรัฐ ที่ตั้งอยู่ในกัมพูชามาอย่างยาวนาน พร้อมกับสั่งให้เจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นชาวต่างชาติขององค์กรดังกล่าวเดินทางออกนอกประเทศภายใน 7 วัน โดยให้เหตุผลว่าเอ็นดีไอไม่ได้มีการขึ้นทะเบียน และจ่ายภาษีถูกต้องตามกฎหมายกัมพูชา
การสั่งปิดเอ็นดีไอมีขึ้นหลังจากที่สมเด็จฮุนเซนนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ขู่ที่จะปิดหนังสือพิมพ์แคมโบเดียเดลี ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์หนึ่งในอีกเพียงไม่กี่ฉบับที่ยังคงวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล โดยอ้างว่าหนังสือพิมพ์ดังกล่าวค้างจ่ายภาษีมากถึง 6.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 214 ล้านบาท ภายใต้ความเคลื่อนไหวที่ถูกมองว่าเป็นความพยายามที่จะจัดการกับกลุ่มที่เห็นต่าง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางการกัมพูชาได้เข้าไปตรวจสอบภาษีและการทำตามกฎระเบียบของทั้งกลุ่มพิทักษ์สิทธิมนุษยชนและองค์กรสื่อต่างๆ ซึ่งผู้วิพากษ์วิจารณ์มองว่า เป็นการตั้งเป้าเล่นงานขั้วตรงข้าม
รัฐบาลอินเดีย รัฐบาลทหารเมียนมาและกัมพูชาเพื่อนบ้านของไทยจัดการกับองค์กรที่รับเงินรับงานต่างชาติมาทำลายบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองขั้นเด็ดขาด โดยการตัดสินจำคุกปิดสำนักงาน ขับชาวต่างชาติออกจากประเทศ ในขณะที่รัฐบาลไทยละเลยไม่ตรวจเส้นทางการเงิน การรับเงินจ่ายเงินว่าเสียภาษีและปฏิบัติตามกฎระเบียบหรือไม่ ปล่อยให้องค์กรเอกชนไม่ว่าจะเป็นแอมเนสตี้ไอลอว์ องค์กรสิทธิมนุษยชน องค์กรประชาธิปไตยที่แฝงตัวมาในรูปนักเคลื่อนไหวทางการเมือง และพรรคการเมืองรับเงินรับงานมาล้างสมองเยาวชน ทำลายโจมตีทำลายสถาบันหลักของชาติได้ตามอำเภอใจ
เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องมักดำเนินการตามกฎหมายเหมือนไฟไหม้ฟาง เมื่อมีคนร้องเรียนขึ้นมาปรากฏการณ์ครูโจมตีรัฐบุรุษและอดีตประธานองคมนตรี มันเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งที่โผล่ขึ้นมาให้เห็นความชั่วช้าที่เกิดจากการละเลยของรัฐบาลไทยที่ไม่ตรวจสอบเส้นทางการเงินและพฤติกรรมของเอ็นจีโอ หากปล่อยไว้นานฐานของภูเขาน้ำแข็งชั่วร้ายอาจถล่มละลายกลายเป็นสึนามิสร้างความหายนะให้สังคมไทยในเวลาไม่ช้าไม่นาน
สุทิน วรรณบวร