“หมออุดม” รับโจทย์โหญ่เดินหน้าปฏิรูปอาชีวะศึกษา
วันที่ 8 ม.ค.2561 นพ.อุดม คชินทร รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ย้ำให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เร่งดำเนินการปฏิรูปอาชีวศึกษาให้เป็นรูปธรรม และถือเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล ในการผลิตกำลังคนเพื่อพัฒนาประเทศ แม้จะมีระยะเวลาไม่นานแต่ถือเป็นการเริ่มต้นเพื่อวางแนวทางสำหรับอนาคต ทั้งนี้ ในส่วนของการดำเนินการยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่นอน แต่เบื้องต้นสิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการมี 3 แนวทาง คือ 1.ยกประสิทธิภาพ และคุณภาพของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ให้ดีขึ้น เพื่อให้สามารถผลิตกำลังคนตอบโจทย์การพัฒนาประเทศให้ได้ ซึ่งคิดว่าตอนนี้หน่วยงานที่จะเป็นต้นแบบได้ทันทีคือ แนวทางของวิทยาลัยแห่งชาติว่าด้วยเทคโนโลยีโคเซ็น ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเท่าที่ทราบบางวิทยาลัยที่มีศักยภาพใช้หลักสูตรของโคเซ็นอยู่แล้ว ดังนั้น แนวทางอาจจะกระจายหลักสูตรและวิธีการเรียนการสอนแบบโคเซ็นให้มากขึ้น
2.การพัฒนาศักยภาพ ผู้เรียนอาชีวะให้มีความเชื่อโยงกับระบบมหาวิทยาลัย สามารถเทียบโอนหน่วยกิตร่วมกันได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ต้องมีการปรับมาตรฐานหลักสูตรทั้งของ สอศ. และของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) ให้เชื่อมโยงกันอย่างจริงจัง โดยต่อไปการเรียนในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส. ) หรือเทียบเท่าระดับอนุปริญญา จะให้มาใช้มาตรฐานหลักสูตรเดียวกับมาตรฐานหลักสูตรระดับปริญญาตรี เพื่อให้สามารถเรียนต่อเนื่องได้ทันที
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ช่องทางการพัฒนาศักยภาพเพื่อให้ได้ปริญญาตรีเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ควรทำ แต่ส่วนตัวไม่อยากให้ผู้ที่เรียนสายอาชีพมาใช้ช่องทางนี้ทั้งหมด เพราะจุดเด่นของอาชีวะ เป็นเรื่องของการเรียนสายปฏิบัติ เป็นการเรียนเพื่อเพิ่มสมรรถนะ ดังนั้น อยากให้ผู้เรียนด้านนี้ เติบโตทางสายอาชีพโดยตรง ให้พัฒนาสมรรถนะใช้ทักษะชั้นสูง โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย
และแนวทางที่ 3 คือ จะต้องหารือกับสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ปรับฐานเงินเดือนให้ผู้ที่จบสายอาชีพ ทั้งนี้หากเป็นสายวิชาชีพที่ตอบโจทย์เป็นการต้องการของประเทศ มีความเป็นไปได้ที่จะการันตีเงินเดือนได้สูงกว่าระดับปริญญาตรี เพราะเราไม่ต้องการให้ผู้เรียนสายอาชีพ มาเรียนปริญญาตรีทั้งหมด เพราะจะกลายเป็นนักวิชาการ ดังนั้นจึงอยากให้คงความเข้มข้นในสายปฏิบัติไว้ อย่างเช่น วิชาชีพแพทย์ศาสตร์ ซึ่งได้รับการรันตี เงินเดือนในระดับปริญญาเอก
“ในวันที่ 10 ม.ค.2561 นี้ผมเชิญมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) มาหารือ เชื่อว่าการปฏิรูปอาชีวะ สามารถทำได้แน่นอน เพราะช่วงเริ่มต้นเราไม่ได้ทำกับสถานศึกษาในสังกัด สอศ. ทั้งหมด 400 กว่าแห่ง แต่จะนำร่องกลุ่มสถานศึกษาที่มีศักยภาพ ซึ่งได้เสนอให้มีการพิจารณาให้ทุนเด็กหัวกะทิ มาเรียนต่อในสาขาที่เป็นความต้องการของประเทศก่อน โดยผมเสนอให้เริ่มตั้งแต่ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) เรียนต่อจนถึงระดับปริญญาตรี หรือสูงขึ้นกว่านั้น แต่ทางนายกฯ กังวลว่า ช่วงเริ่มต้นหากเริ่มตั้งระดับปวช.ปี 1 อาจจะไม่ทัน ดังนั้น เป็นไปได้ว่า ในช่วงเริ่มต้นจะให้ทุนผู้ที่จบปวช. ปี 3 เข้าเรียนต่อปวส. และป.ตรี ก่อน ซึ่งหากสถานศึกษาในสังกัด สอศ.ใดทำได้ จะให้งบประมาณ เป็นเงินรายหัว แต่ต้องเป็นสาขาที่ตอบโจทย์การพัฒนาประเทศ เช่น รถไฟฟ้าระบบราง ช่างอากาศยาน หลักสูตรโรโบติกส์ หลักสูตรแมคคาทรอนิกส์ หลักสูตรการท่องเที่ยว และหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ เป็นต้น” นพ.อุดม กล่าว
วันเดียวกัน นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ขณะนี้แนวทางการปฏิรูปอาชีวะมีความชัดเจนมากขึ้น โดยวันที่ 10 ม.ค.นี้ นพ.อุดม จะหารือเรื่องดังกล่าวกับผู้เกี่ยวข้อง แต่ทั้งนี้ในวันที่ 8 ม.ค. ตนได้หารือกับนายกฯ ซึ่งได้ให้หลักการดำเนินการ คือ เราต้องโฟกัสเริ่มต้นปฏิรูปในสาขาที่จำเป็นต่อความต้องการของประเทศก่อน โดยให้ไปดูว่าจะปฏิรูปสาขาที่เป็นความจำเป็น เร่งด่วน 3–4 สาขา เช่น รถไฟฟ้าระบบราง ช่างอากาศยาน รวมถึงสาขาที่เกี่ยวข้องกับโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) การพัฒนาประเทศในยุค 4.0 ส่วนอุดมศึกษา จะพัฒนาการเรียนการสอนในหลักสูตรที่เกี่ยวข้องล้อตามกันไปด้วย
ขณะเดียวกันเพื่อให้การดำเนินการมีเป็นไปอย่างมีศักยภาพ ขอให้มีการรวมตัวเป็นกลุ่มสถาบัน อย่างเช่น หลักสูตรเรื่องรถไฟฟ้าระบบร่าง ที่แต่ละสถาบันแยกกันทำ ก็ขอให้มาร่วมกลุ่มกัน เพื่อให้เกิดพลังในการต่อยอดเรื่องต่าง ๆ เช่น การเจรจาทำความร่วมมือกับต่างประเทศ และให้ขึ้นตรงกับ รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) ที่ได้รับมอบหมาย
“สำหรับสาขาที่เร่งใช้กำลังคนเร่งด่วน หรือการผลิตกำลังคนสาขาที่มีความเชี่ยวชาญระดับปริญญาโท จะให้มีช่องทางพิเศษ โดยจะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคำนวณการใช้เงินในการผลิตต่อหัว เสนอมา ผมจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา แต่ต้องกำหนดชัดเจนว่าเป็นสาขาที่เป็นความจำเป็นเร่งด่วน ส่วนสาขาอื่น ๆ ก็ผลิตไปตามระบบ เชื่อว่าทุกอย่างจะดำเนินไปด้วยดี” นพ.ธีระเกียรติ กล่าว
** อ่านต้นฉบับเต็มได้ที่ หนังสือพิมพ์สยามรัฐ