“ดร.พิษณุ” แย้มรู้ตัวผู้กล่าวอ้าง แต่เจ้าตัวได้ปฏิเสธพร้อมขอทำบันทึกชี้แจง / ด้านเลขาฯคุรุสภา ย้ำกรณีไม่มีตั๋วครูสอบครูผู้ช่วย ใช้หลักเกณฑ์เดิมที่ทำกันมา คือภายใน 2 ปีต้องพัฒนาให้ได้มาตรฐานเพื่อรับใบวิชาชีพ แต่กลับไม่มีใครพูดถึง
วันที่ 27 มี.ค.60 ดร.สมศักดิ์ ดลประสิทธิ์ รองเลขาธิการสภาการศึกษา ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการคุรุสภา กล่าวว่า ตามที่มีผู้แอบอ้างว่า คุรุสภามีส่วนร่วมในการสนับสนุนการรวมตัวกันของกลุ่มครู นักวิชาการ และคณาจารย์ จากคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ทั่วประเทศ ในการล่ารายชื่อจำนวน 50,000 รายชื่อ เสนอนายกรัฐมนตรี เพื่อปลด นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ พ้นจากตำแหน่ง รมว.ศึกษาธิการ เนื่องจากมีมติคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เปิดให้ผู้ที่ไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู สามารถสมัครแข่งขันเพื่อสอบบรรจุเข้ารับราชการครูและบุคลารกทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วยได้นั้น
ตนขอยืนยันว่าคุรุสภาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง กับการเคลื่อนไหวใดๆ และก็ไม่สนับสนุนให้มีการล่าชื่อใดๆ ด้วย ซึ่งขณะนี้ทั้งทางสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) กำลังตรวจสอบว่าใครเป็นผู้นำชื่อองค์กรไปแอบอ้าง
“คุรุสภา ซึ่งเป็นองค์กรที่ดูแลวิชาชีพ ดำเนินการเรื่องนี้ตามมติคณะกรรมการคุรุสภา ซึ่งตั้งแต่ปี 2549 คุรุสภา มีมติให้ออกหนังสืออนุญาตปฏิบัติการสอนโดยไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ให้แก่ผู้ไม่มีใบอนุญาตฯ ได้ เพราะเป็นความจำเป็นของหน่วยงานผู้ใช้ครูเสนอมา และระหว่างที่ใช้หนังสืออนุญาตปฏิบัติการสอนนั้น จะต้องไปอบรมพัฒนาให้ได้มาตรฐานวิชาชีพ ที่คุรุสภารับรองภายในระยะเวลา 2 ปี แต่กลับไม่ค่อยมีคนพูดถึง ขอย้ำว่าคุรุสภาไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย เป็นหลักเดิมที่คุรุสภาเคยปฏิบัติมา”เลขาธิการ คุรุสภา กล่าว
ด้าน ดร.พิษณุ ตุลสุข รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการ สกสค. กล่าวว่า ผู้ให้ข่าวในนาม สกสค.จะต้องเป็นเลขาธิการ สกสค. หรือ คณะกรรมการ สกสค. ไม่ใช่ใครก็ได้ที่เป็นสมาชิก สกสค. แล้วเอาชื่อองค์กรไปกล่าวอ้าง ทำให้สังคมเข้าใจผิด ซึ่งผู้นั้นก็ต้องรับผิดชอบ โดยขณะนี้ สกสค.กำลังสืบข้อเท็จจริงว่ามีใครเข้าไปเกี่ยวข้อง และ รู้ตัวผู้กล่าวอ้างแล้ว และเจ้าตัวได้ปฏิเสธพร้อมขอทำบันทึกชี้แจง
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้หากมีใครนำชื่อ สกสค.ไปแอบอ้าง ว่า สกสค.จะทำอย่างงั้นอีกก็จะฟ้องร้องดำเนินคดีตามกฎหมาย
//////////////////
** อ่านต้นฉบับเต็มได้ที่ หนังสือพิมพ์สยามรัฐ