ยึดตามหลักเกณฑ์การพิจารณาลักษณะต้องห้าม กรณีต้องโทษจำคุก
วันที่ 27 ก.ย.60 ดร.สมศักดิ์ ดลประสิทธิ์ รองเลขาธิการสภาการศึกษา ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการคุรุสภา เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะอนุกรรมการดำเนินงานมาตรฐานวิชาชีพของคุรุสภา ที่มี ดร.กมล รอดคล้าย ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้มีการพิจารณากรณี น.ส.จอมทรัพย์ ศรีบุญหอม หรือ ครูจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร อดีตข้าราชการครู โรงเรียนบ้านม่วงไข่ประชาราษฎร์สงเคราะห์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร ยื่นหนังสือถึงคุรุสภาเพื่อขอต่อใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู
โดยยึดตามหลักเกณฑ์การพิจารณาลักษณะต้องห้าม กรณี “ต้องโทษจำคุก ในคดีที่คุรุสภาเห็นว่า อาจนำมาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ” ตามที่กำหนดในมาตรา 44(ข)(3) แห่ง พ.ร.บ.สภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2546 สำหรับผู้ที่จะขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการศึกษา และผู้ขอต่อใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ซึ่งกำหนดไว้ว่า 1.การต้องโทษจำคุกโดยพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก 2.ต้องเป็นการประทำความผิดโดยเจตนา ยกเว้นความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ และ 3.ต้องเป็นโทษจำคุกที่เป็นความผิดเกี่ยวกับจรรยาบรรณของวิชาชีพ
ดร.สมศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาแล้วเห็นว่ากรณีของ น.ส.จอมทรัพย์ ไม่สร้างความเสื่อมเสีย และไม่เข้าข่ายลักษณะต้องห้ามในทางจรรยาบรรณวิชาชีพ คือ ความผิดต่อการทุจริตในหน้าที่ การทารุณร่างกายและจิตใจ การใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ ความผิดเกี่ยวกับเพศ และยาเสพติด ดังนั้น ที่ประชุมจึงมีมติอนุมัติต่อใบอนุญาตฯให้แก่ น.ส.จอมทรัพย์ และสามารถดำเนินการได้ทันที เนื่องจาก น.ส.จอมทรัพย์ ได้ยื่นเรื่องขอต่อใบอนุญาตฯมาก่อนหน้านี้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ใบอนุญาตฯ ของ น.ส.จอมทรัพย์ ขาดการต่ออายุไปตั้งแต่ปี 2557 เนื่องจากถูกจำคุกจึงไม่สามารถดำเนินการขอต่ออายุใบอนุญาตฯได้ เพราะฉะนั้น การอนุมัติต่ออายุใบอนุญาตฯ ครั้งนี้ จะมีผลย้อนหลังตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปี 2562 เมื่อครบกำหนดผู้รับใบอนุญาตฯก็ต้องดำเนินการยื่นเรื่องขอต่ออายุใบอนุญาตฯ ซึ่งคุรุสภากำหนดให้ต่ออายุทุก 5 ปี ทั้งนี้ กรณี น.ส.จอมทรัพย์ ถือเป็นรายแรกที่พิจารณาโดยใช้หลักเกณฑ์ใหม่
ดร.สมศักดิ์ กล่าวและว่า หลักเกณฑ์ที่ออกมาครั้งนี้ จะใช้เป็นแนวทางในการพิจาณากรณีอื่นๆด้วย ซึ่งในอนาคตอาจจะพิจารณาบรรจุไว้ใน พ.ร.บ.สภาครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อบังคับใช้เป็นกฎหมาย
** อ่านต้นฉบับเต็มได้ที่ หนังสือพิมพ์สยามรัฐ