ทุจริตกองทุนเสมาฯ พบเอกสารราชการเกินครึ่งเป็นของปลอม! “อรรถพล” เผย สตง.- ป.ป.ท.ส่งสัญญาณเตือน 2 ครั้งแต่ถูกเพิกเฉย
วันที่ 19 เม.ย.2561 นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหาร ศธ. ว่า นายอรรถพล ตรึกตรอง ผู้ตรวจราชการ ศธ. ในฐานะประธานคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงการทจริตกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต ได้รายงานความคืบหน้าการสืบสวนว่า ขณะนี้การดำเนินการมีความคืบหน้ามาก โดยเห็นขั้นตอนต่าง ๆ ว่า รั่วไหลตรงส่วนไหนบ้าง ออกไปได้อย่างไร กระบวนการผิดพลาดตรงไหน ไม่ว่าจะเป็นขั้นการจ่ายเงิน การรับเงินที่ไม่มีใบเสร็จ ขั้นตอนการเสนออนุมัติ การประชุมและทำไมคนคนเดียวสามารถปลอมแปลงเอกสารได้ทำให้เหมือนเอกสารราชการ จะนำมาประมวลใช้กับกองทุนอื่น ๆ ด้วย รวมถึงการเยียวยาผู้เสียหาย เช่น กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) สามารถเรียกร้องค่าเสียหายจาก ศธ.ได้ รวมถึงอยู่ระหว่างพิจารณาความผิดทางละเมิดกับผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย
ส่วนกรณีการสืบสวนข้อเท็จจริงการเช่าสัญญาณอินเตอร์เน็ตในระบบ MoeNet ของ ศธ. และการตรวจสอบข้อเท็จการก่อสร้างโครงการสร้างศูนย์ศึกษาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทะเลสาบสงขลา หรืออะควาเรียม ที่วิทยาลัยประมงติณสูลานนท์ อ.เมือง จ.สงขลา ยืนยันว่าไม่ได้ตั้งใจปรักปรำใคร และมีขั้นตอนกระบวนการทางกฎหมายที่เกิดความเป็นธรรม ซึ่งที่ประชุมผู้บริหาร ศธ. ตนได้ชี้แจงให้เข้าใจว่าไม่ต้องกลัว ถ้าเราไม่ได้ทำอะไรผิด ส่วนคนที่ยังก่ำกึ่งว่าจะกระทำความผิดหรือไม่ ก็มีกระบวนการตรวจสอบ ซึ่งบางเรื่องจะได้ข้อสรุปภายในสัปดาห์หน้า เช่น กรณีอะควาเรียม ส่วนใครจะมีชื่อเกี่ยวข้องบ้างนั้นไม่อยากพูดถึง เพราะการเปิดเผยรายชื่อ จะทำให้มีการตีความและเป็นการปรักปรำไปก่อน
ด้านนายอรรถพล กล่าวว่า ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการสืบสวนทุจริตกองทุนเสมาฯ ซึ่งสรุปข้อมูลถึงวันที่ 18 เม.ย.2561 พบว่ามีการโอนเงินกองทุนฯ ตั้งแต่ปี 2548-ปัจจุบัน ให้โรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จำนวน 41 แห่ง 447 รายการโอน เป็นเงิน 70,372,423 บาท, วิทยาลัยพยาบาล 26 แห่ง 130 รายการโอน เป็นเงิน 56,465,270 บาท, สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย(กศน.) 3 แห่ง 3 รายการโอน เป็นเงิน 7,587,602 บาท และโอนเข้าบัญชีบุคคลอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง 39 ราย 349 รายการโอน เป็นเงิน 79,687,602 บาท โอนเข้าบัญชีอื่น ซึ่งไม่รู้ว่าของใครและปิดบัญชีแล้ว 68 บัญชี 119 รายการ เป็นเงิน 16,147,261 บาท รวมรายการโอนทั้งสิ้น 1,048 รายการโอน เป็นเงิน 230,251,144 บาท
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ข้อมูลมีความคืบหน้าไปมาก เราค้นพบแล้วว่ามีจุดรั่วตรงไหน โดยทางคณะกรรมการสืบสวนฯ จะพยายามเร่งรัดให้แล้วเสร็จภายในสิ้นเดือน เม.ย. เพราะยังรอข้อมูลจากบางแหล่ง ทั้งคำชี้แจงจากผู้บริหารระดับสูง ซึ่งกำหนดส่งวันที่ 25 เม.ย. ข้อมูลการตรวจสอบตัวเลขที่แท้จริง จากศึกษาธิการจังหวัด ( ศธจ.) 12 แห่ง เอกสารอนุมัติเบิกเงินกองทุนฯ ปี 2553 จากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ผู้การตรวจสอบข้อมูลทางการเงินของผู้เกี่ยวข้องจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ผลการตรวจสอบชื่อเจ้าของบัญชีที่ปิดบัญชีแล้ว และสเตทเมนท์ ของสถานศึกษา และผู้รับทุนจากธนาคารกรุงไทย สำนักงานใหญ่ โดยเท่าที่ตรวจสอบพบว่ามีการปลอมแปลงเอกสาร ซึ่งถ้าเป็นการโอนจากสำนักงานปลัด ศธ.จะมีชื่อภาษาไทยขึ้นในสเตทเมนท์ ว่าโอนจาก สป.ศธ. แต่กรณีที่โอนจากบัญชีอื่นซึ่งไม่รู้ว่าบัญชีใคร พบว่ามีปริมาณการโอนจากบัญชีอื่นค่อนข้างมาก จึงมั่นใจว่าหากได้สเตทเมนท์มา จะสามารถขยายผลโดยใช้เลขที่บัญชีนำสืบต่อ ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นอาจจะมีผู้เกี่ยวข้องเพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ยังรอสำเนาหนังสือราชการที่แจ้งไปยังสถานศึกษา ว่ามีการโอนเงินแล้ว เพราะพบว่ามีการปลอมแปลงหนังสือราชการ ซึ่งช่วงแรกจะเป็นหนังสือจริง แต่ในปี 2551 เริ่มมีการปลอมแปลงหนังสือราชการ พบว่าเกินครึ่งเป็นหนังสือปลอม ที่ลงนามโดยผู้ไม่มีอำนาจ หรือบางครั้งใช้เลขที่หนังสือที่เชิญให้จัดนิทรรศการมาเป็นหนังสือแจ้งการโอนเงิน ซึ่งเมื่อตรวจสอบก็พบว่ามีการโอนเงินจริง แต่เป็นการโอนจากเลขที่บัญชีอื่นไม่ใช่บัญชีของ สป.ศธ. และอีกรอยรั่วหนึ่ง คือกรณีที่สถานศึกษาส่วนใหญ่ไม่ได้ออกใบเสร็จรับเงิน เมื่อมีการโอนเงินเข้าบัญชีสถานศึกษา ตามระเบียบการเก็บรักษาเงินและการนำเงินส่งคลัง 2520 และ 2551 ที่กำหนดว่าในการรับเงินทุกกรณีจะต้องออกใบเสร็จทุกครั้ง อีกทั้งใบเสร็จที่ส่งกลับมาก็ไม่ได้นำมาเข้าระบบ แต่นำไปเก็บในกลุ่มที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง
นายอรรถพล กล่าวด้วยว่า เรื่องนี้มีสัญญาณเตือนมาแล้วอย่างน้อย 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อปี 2550 ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ส่งหนังสือให้ ศธ. ชี้แจง แต่พบว่าในปีดังกล่าว ไม่มีการประชุมคณะกรรมการกองทุนฯ และมาประชุมในปี 2551 ซึ่งที่ประชุมก็ไม่ได้ให้ความสำคัญลงไปตรวจสอบเรื่องนี้ ต่อมาในปี 2557 ป.ป.ท. มีหนังสือถึง ศธ.ให้ตรวจสอบ เนื่องจาก ป.ป.ท.ได้รับการร้องเรียนจากสถานศึกษาใน จ.เชียงใหม่ ว่ายังไม่ได้รับเงินของปี 2554 และ 2555 แต่ก็ถูกละเลยไม่ได้มีการตรวจสอบในเชิงลึก เพียงแต่ให้เจ้าของเรื่องชี้แจง ซึ่งก็ชี้แจงว่าได้จ่ายเงินไปแล้วเมื่อปี 2556
ผมรู้สึกว่าเสียดายโอกาสทำไมครั้งนั้นไม่มีใครตั้งข้อสังเกตว่า การค้างจ่ายตั้งแต่ปี 2554 แล้วมาจ่ายในปี 2556 เป็นเพราะอะไร และเมื่อผมเข้าไปสืบสวนก็พบว่า เอกสารที่แนบมาชี้แจงก็เป็นเอกสารปลอม
“ตัวเลขความเสียหายล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 41,861,181 บาท จากเดิมอยู่ที่ 96,380,863 บาท เพราะพบว่ามีการหมุนเงินระหว่างโรงเรียน เช่น ต้องโอนเข้าบัญชีวิทยาลัยพยาบาล แต่ไปโอนเข้าโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ เป็นต้น โดยวิทยาลัยพยาบาล ยืนยันแล้ว 14 แห่ง ว่าขาดเงินจำนวน 9,810,000 บาท รับเงินเกิน 60,000 บาท รอข้อมูลอีก 12 แห่ง ซึ่งประมาณการว่าขาดเงินอีก 20,774,000 บาท รวมแล้วจะต้องหาเงินให้กับวิทยาลัยพยาบาล 30,414,000 บาท ส่วน สพฐ. ยืนยันแล้ว 26 จังหวัด ขาดเงิน 8,989,160 บาท รับเงินเกิน 2,114,633 บาท รอยืนยันข้อมูลอีก 18 โรงเรียน ซึ่งข้อมูลเดิม 18 โรงเรียนนี้ขาดเงิน 4,572,655 บาท รวมแล้วเฉพาะโรงเรียนสพฐ. คาดว่าจะขาดเงิน 11,447,181 บาท“
นายอรรถพล กล่าวและว่า เท่าที่ดูจากการสืบสวนฯ ที่ผ่านมา คิดว่านางรจนา สินที อดีตนักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการ ระดับ 8 ศธ. ยังเป็นเจ้าภาพหลักในการโกง ส่วนคนอื่น ๆ เป็นผู้ช่วย แต่ก็ยังต้องรอข้อมูลประกอบการพิจารณาจาก ปปง. และป.ป.ท.ซึ่งสามารถสอบเชิงลึกได้มากกว่า
** อ่านต้นฉบับเต็มได้ที่ หนังสือพิมพ์สยามรัฐ