เมื่อสัปดาห์ที่แล้วดูฤกษ์พานาทีพร้อมจับยามสามตาบอกแล้วว่า “พี่ไทย” จะมีผู้ติดเชื้อเกิน 4 แสนคนในสัปดาห์นี้ ซึ่งก็เป็นไปตาม “ดวงไวรัส” จริงๆ ล่าสุดนั้น “ไทย” รั้งอันดับ 51 ของโลก โดยมีผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 439,477 คน ซึ่งไม่อยากบอกว่า ภายในสัปดาห์นี้หรือต้นสัปดาห์หน้า “สยามเมืองยิ้ม” ก็คงยิ้มไม่ออก เพราะติดท็อป 50 ของโลกอย่างแน่นอน ด้วยอัตราเร่งของการติดเชื้อรายวันที่ไม่รู้ว่าจะ “นิวไฮ” กันแทบไม่เว้นทั้งในส่วนของผู้ติดเชื้อรายใหม่และจำนวนผู้เสียชีวิต …๐ ที่บอกว่าติด “ท็อป 50” เพราะอันดับปัจจุบันคือ “โปรตุเกส” ที่มีผู้ติดเชื้อ 446,267 รายเท่านั้น แม้จะมากกว่าไทยอยู่ 6,790 คน แต่ หากดูกราฟและอัตราเร่งแล้วรู้ได้ทันทีว่าไม่เกิน 1-2 วันก็แซงแน่นอน เพราะ “โปรตุเกส” ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อรายวันในแค่ระดับหลักร้อย แต่ของเรากลับอยู่ในระดับหลักหมื่น ซึ่งล่าสุดก็เกิน 13,000 คนไปแล้ว …๐ “นิวไฮ” ครั้งนี้ไม่เพียงเป็นของระดับประเทศเท่านั้น แต่ในหลายจังหวัดก็ทำสถิติใหม่ด้วย ที่สำคัญเป็น “สถิติ” การติดโควิดตั้งแต่ปี 2563 กันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น “นครราชสีมา” หรือ “นครพนม” และเชื่อว่ามีอีกหลายพื้นที่ ไม่เว้นแม้แต่ใน “เรือนจำและทัณฑสถาน” โดยล่าสุด “อายุตม์ สินธพพันธุ์” อธิบดีกรมราชทัณฑ์ได้แจงตัวเลขติดเชื้อรายใหม่ว่าอยู่ที่ 1,049 ราย ซึ่งเป็นหลักพันครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ โดยให้เหตุผลว่ามาจากการเร่งตรวจหาเชื้อเชิงรุก!!! งานนี้ชาวประชาก็เลยงงกันใหญ่ ก็ ไหนบอกตรวจเชิงรุกมาตั้งแต่ตอนถูก “แก๊ง 3 นิ้ว” แฉเรื่องโควิดคุกมาแล้ว ทำไมอยู่ๆ ก็โผล่มาอีกได้เล่า …๐ ขณะที่ “พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์” ผู้ช่วยโฆษกศูนย์ ศบค. ซึ่งแถลงสถานการณ์ประจำวัน ยังบอกข่าวใหม่ที่รู้กันมาตลอดด้วยว่า ตอนนี้ “สายพันธุ์อินเดีย” หรือ “เดลตา” ได้กลายเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดไวรัสไปแล้วในพื้นที่ กทม. โดยเกิน 50% ในหลายเขต ทั้ง “จตุจักร-บางรัก-จอมทอง-คลองเตย-หลักสี่” …๐ แปลกแต่จริง ปกติ “คำสั่ง” ที่เป็นเรื่องเป็นราวให้ต้องปฏิบัติตาม เพราะมีบทลงโทษนั้นจะต้องเขียนให้ชัดแจ้งแดงแจ๋ แต่ทำไมคำสั่งปิดกิจการใน 13 จังหวัดครั้งนี้มันถึงลักปิดลักเปิดสิ้นดี ไม่นับของเก่าที่ยังมีความงงงวยแบบไม่จบไม่สิ้น โดยเฉพาะร้านอาหารในห้างที่เป็นประเภทเดลิเวอรีนั้น ต้องปิดตามห้างหรือเปิดได้ แล้วนี่ยังไม่เพิ่มกิจการใหม่ที่ต้องปิดอีก 10 กิจการ งานนี้ก็เลยยิ่ง ทำให้ “คำสั่ง ศบค.” เริ่มกลายเป็นเล่นขายของไปแล้ว …๐ ไม่ต่างจากคำสั่งของ “พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์” ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคงที่ต้องออกคำสั่งฉบับที่ 8 ซึ่งไม่รู้ว่าล่าสุดหรือไม่อย่างไรในการควบคุมการชุมนุมหรือคุมม็อบ เพราะเล่นเอาเถิดเจ้าล่อแบบนี้นี่เอง จึงไม่แปลกใจที่ผู้ชุมนุมสารพัดกลุ่มเริ่มทบทวีมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้น “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ต้องตัดพ้อในที่ประชุม ครม.ออนไลน์เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา …๐ แหม! แต่ถ้าจะบอกว่าตัดพ้อ ตัดช่องน้อยแต่พอตัวว่า “ผมไม่ทิ้งคุณ พวกคุณจะทิ้งผมก็ตามใจ” จริงๆ แล้วนอกจากเป็นการ “โยนหินถามทาง” พรรคร่วมรัฐบาลแล้ว อาจเป็นการโยนหินถาม “กองเชียร์” ว่ายังรักและเอ็นดู “ลุงตู่” เหมือนเดิมหรือไม่ ซึ่ง บอกได้เลยว่า “กองเชียร์” หลายคนเริ่มจะกลายเป็น “กองแช่ง” แล้ว เพราะการแก้ปัญหาของนายกฯ ที่รวบอำนาจเป็น “ซูเปอร์แมน” แต่กลับไม่ได้สามารถทำให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดได้เลย” …๐ ดูง่ายๆ ในเรื่องมาตรการเยียวยา ประชุมกันตั้งแต่สัปดาห์ก่อนให้มีมาตรการใหม่ๆ ออกมาในเรื่องการศึกษาและการแก้ไขปัญหาหนี้ สุดท้ายก็ไม่มีดอกผลอะไรนอกจากมาตรการเดิมๆ อย่างการพักหนี้เงินต้น-ดอกเบี้ย 2 เดือน ที่ไม่ได้เป็นการพักจริงแต่ประการใด ต้องเรียกว่า “ยืดเวลา” เสียมากกว่า เพราะดอกก็ยังทบต่อ ในขณะที่ด้านการศึกษา ก็ ต้องเรียก “ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาฯ และ ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.อว.” เข้ามาหารือกันอีกรอบเพื่อจะเสนอ ครม.ในสัปดาห์หน้า ทั้งที่ตอนประชุมสัปดาห์ที่แล้วบอกเป็นเรื่องเร่งด่วน …๐ นี่ยังไม่นับมาตรการเยียวยาใน 13 จังหวัด โดยเฉพาะเรื่องเงิน 2,500 บาทที่จะจ่ายให้กับบรรดามนุษย์เงินเดือน 9 กิจการ ซึ่ง ผู้จ่ายเงินค่าประกันสังคมเดือนละ 750 บาทมาทุกเดือนใน 10 หรือ 13 จังหวัดก็ได้แต่ฉงนว่าทำไมไม่ได้รับทุกคน แต่กับ คนที่เพิ่งมาสมัครเข้าระบบประกันภายในสิ้นเดือนนี้กลับจะได้รับเงินช่วยเหลือ 5,000 บาท นี่ใช้ตรรกะไหนคิด เพราะการ WHF ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจประเภทใดก็มีแต่ทำต้นทุนสูงขึ้นทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต รวมถึงค่ากิน แต่รัฐบาลกลับลดค่าไฟและค่าน้ำเหมือนของเซ่นบนผีที่แทบไม่ช่วยอะไร แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าเยียวยาได้อย่างไรเล่า …๐
ท.ศักดิ์