“บิ๊กน้อย” แจ้งความถูกกล่าวหาเอี่ยวจัดซื้อกล้องซีซีทีวี 12 เขตการศึกษาชายแดนใต้
ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อโซเชียล เกี่ยวกับโครงการติดตั้งระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิดในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ใน 12 เขตพื้นที่การศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ระบุว่ามีกลุ่มทหารที่ได้รับผลประโยชน์ ข่มขู่แทรกแซง ให้กรรมการจัดซื้อจัดจ้างและกรรมการตรวจรับงาน ซึ่งเป็นข้าราชการครู ให้ตรวจรับงานที่ไม่เป็นไปตามสัญญา โดยอ้างว่าเป็นข้อสั่งการของ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการ นั้น
พล.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า เรื่องนี้มีการร้องเรียนหลายครั้งแล้ว ตั้งแต่ปี 2558 ซึ่งตนในฐานะที่เป็นหัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้รวบรวมเอกสารหลักฐานรายงานต่อ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ ทราบแล้ว และได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสืบข้อเท็จจริง ตั้งแต่เดือนเม.ย.2560 และมีการสรุปผลการสืบสวนข้อเท็จจริงรายงาน รมว.ศึกษาธิการ ซึ่งทราบว่ามีข้าราชการจำนวนหนึ่งเข้าข่ายกระทำความผิด และส่งเรื่องไปให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ดำเนินการ ขณะเดียวกันตนได้ทำหนังสือไปยังเลขาธิการ ป.ป.ช.เมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา เพื่อขอความร่วมมือให้เร่งรัดในการสอบสวนเอาผิดกับผู้กระทำความผิดดังกล่าวด้วย
“ส่วนที่มีการระบุชื่อผมว่าเป็นผู้สั่งการอยู่เบื้องหลังนั้น ผมได้ไปแจ้งความดำเนินคดีหมิ่นประมาท กับผู้เผยแพร่ข้อความดังกล่าวลงในโซเชียล เพราะถือเข้ากระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ไว้ที่สถานีตำรวจทุ่งสองห้อง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการตามกฎหมาย ส่วนเรื่องการย้ายผู้อำนวยการเขตพื้นที่ฯ ออกนอกพื้นที่นั้น เป็นอำนาจของเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาต้นสังกัด เพราะการสอบสวนวินัยร้ายแรงจะต้องออกจากพื้นที่ไว้ก่อน เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมทำงานได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นประโยชน์ของการสอบสวนด้วย”
พล.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม ตนเคยเป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการขับเคลื่อนแก้ปัญหาทุจริตของ ศธ.คงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำการทุจริตเอง
** อ่านต้นฉบับเต็มได้ที่ หนังสือพิมพ์สยามรัฐ