ผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 6/2567 วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2567 โดยมี พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุม และมี รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการ ก.ค.ศ. เป็นเลขานุการการประชุมซึ่งที่ประชุมได้มีการพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาและมีมติที่สำคัญ ดังนี้
1. เห็นชอบให้กรมส่งเสริมการเรียนรู้ดำเนินการเกี่ยวกับการจัดตั้งหน่วยงานการศึกษาและสถานศึกษา
มาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติกรมส่งเสริมการเรียนรู้ กำหนดให้เปลี่ยน สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยในสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ เป็นกรมส่งเสริมการเรียนรู้ตามพระราชบัญญัตินี้ มีฐานะเป็นนิติบุคคล และเป็นกรมในกระทรวงศึกษาธิการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ และกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน อยู่ในบังคับบัญชาของรัฐมนตรีและปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และมาตรา 28 ให้โอนบรรดากิจการ อำนาจหน้าที่ ทรัพย์สิน งบประมาณ สิทธิ หนี้ และ ภาระผูกพันทั้งปวง รวมถึงข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้าง และอัตรากำลังของสำนักงาน ปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ไปเป็นของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ กระทรวงศึกษาธิการ
ดังนั้น เพื่อให้การบริหารงานบุคคลของกรมส่งเสริมการเรียนรู้สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบและวิธีการ จึงจำเป็นต้องมีการกำหนดโครงสร้างที่ชัดเจนว่าหน่วยงานใดเป็นหน่วยงานการศึกษาหรือสถานศึกษาก่อน และต้องมีโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการภายในหน่วยงานนั้น ๆ ที่ระบุอำนาจหน้าที่ไว้ชัดเจนแล้ว โดย ก.ค.ศ. ได้พิจารณา (ร่าง) โครงสร้างของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ และมีมติ ดังนี้
1) เห็นชอบให้กรมส่งเสริมการเรียนรู้ดำเนินการเกี่ยวกับการจัดตั้งหน่วยงานการศึกษาและสถานศึกษาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ดังนี้
– หน่วยงานการศึกษา สังกัดกรมส่งเสริมการเรียนรู้ จำนวน 84 แห่ง
– สถานศึกษา สังกัดกรมส่งเสริมการเรียนรู้ จำนวน 2 แห่ง
– สถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัด/กรุงเทพมหานคร จำนวน 958 แห่ง
2) เห็นชอบกำหนดตำแหน่งและกรอบอัตรากำลังในหน่วยงานการศึกษาหรือ สถานศึกษา สังกัดกรมส่งเสริมการเรียนรู้ แล้วแต่กรณี โดยให้กรมส่งเสริมการเรียนรู้ นำตำแหน่งของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งผู้บริหารการศึกษา ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา ตำแหน่งครู ตำแหน่งศึกษานิเทศก์ และตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) ตามที่ ก.ค.ศ. อนุมัติให้สำนักงาน กศน. (เดิม) จำนวน 4,598 อัตรา ไปกำหนดในหน่วยงานการศึกษาหรือสถานศึกษา แล้วแต่กรณี ไปพลางก่อน เป็นระยะเวลา 1 ปี โดยให้สอดคล้องกับสถานะของหน่วยงานตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง จัดตั้งหน่วยงานการศึกษาหรือสถานศึกษา ตามแนวทางการกำหนดตำแหน่งของหน่วยงานการศึกษา หรือสถานศึกษา สังกัดสำนักงาน กศน. เดิม เมื่อครบระยะเวลาที่กำหนด ให้มีการติดตามการปฏิบัติงานและภาระงานที่แท้จริงเพื่อปรับปรุงกรอบอัตรากำลังให้มีความเหมาะสมต่อไป
3) เห็นชอบให้ใช้มาตรฐานตำแหน่งและมาตรฐานวิทยฐานะของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตาม ว 3/2564 เพื่อประโยชน์ในการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
4) เมื่อครบระยะเวลา 1 ปี ให้ สกร. รายงานผลการประเมินผลสัมฤทธิ์ตามตัวชี้วัดค่าเป้าหมายความสำเร็จที่ ก.พ.ร. มีมติเห็นชอบให้ ก.ค.ศ. พิจารณาต่อไป
ซึ่งภายหลังจากมีมติเห็นชอบจาก ก.ค.ศ. ในวันนี้ ให้กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) ดำเนินการเกี่ยวกับการจัดตั้งหน่วยงานการศึกษา และสถานศึกษา ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยการดำเนินการตามมติข้อ 2) และ 3) ให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง แล้วแต่กรณี ให้แล้วเสร็จ ก่อนเสนอ ก.ค.ศ. เพื่อพิจารณาดำเนินการตามมาตรา 41 และ 42 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 ต่อไป
2. เห็นชอบ (ร่าง) แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินการย้ายสับเปลี่ยนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ
สืบเนื่องจากที่สำนักงาน ก.ค.ศ. ได้จัดทำระบบย้ายสับเปลี่ยนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ (Teacher Matching System : TMS) เพื่อให้ข้าราชการครูได้ดำเนินการยื่นคำร้องขอย้ายผ่านระบบดังกล่าว โดยเปิดใช้งานระบบรอบที่ 1 มีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม – 29 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว ก.ค.ศ. ได้กำหนดแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินการย้ายสับเปลี่ยนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อใช้เป็นแนวทางให้ข้าราชการครู ส่วนราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง สามารถดำเนินการย้ายสับเปลี่ยนฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งจากการดำเนินการครั้งที่ผ่านมา สำนักงาน ก.ค.ศ. ได้ประเมินผลและรับฟังความคิดเห็นจากข้าราชการครู รวมถึงบุคลากรที่ดูแลระบบ TMS ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา จึงได้นำข้อมูลต่าง ๆ มาวิเคราะห์เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ประกอบกับ ก.ค.ศ. ได้กำหนดวิธีการบริหารอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษา ตามระบบ SCS ให้กำหนดอัตรากำลังสายงานการสอนตามเกณฑ์มาตรฐานวิชาเอกที่กำหนดให้มีในสถานศึกษาโดยพิจารณาจากกลุ่มวิชา หรือทาง หรือสาขาวิชาเอก ที่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้ง หรือรายวิชา หรือวิชา หรือสาขา หรือกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่ผ่านการประเมินวิทยฐานะตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ค.ศ. กำหนด
ดังนั้น เพื่อให้สถานศึกษามีอัตรากำลังเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานวิชาเอก (ว 29/2565) และวิธีการบริหารอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตามระบบ SCS และเพื่อประโยชน์ของข้าราชการครูในการยื่นคำร้องขอย้ายสับเปลี่ยนรอบที่ 2 จึงเห็นควรปรับปรุงแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการย้ายสับเปลี่ยนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ โดยยกเลิกแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการย้ายสับเปลี่ยนฯตาม ว3/2567 และให้ใช้ระบบ TMS ที่ได้ปรับปรุงให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติฯ ที่กำหนดใหม่ สำหรับการย้ายสับเปลี่ยนตาม ว 18/2566 ประจำปี พ.ศ. 2567 ในการยื่นคำร้องขอย้ายรอบที่ 2 นอกจากนี้ ที่ประชุม ก.ค.ศ.ได้เห็นชอบการกำหนดปฏิทินในการย้ายสับเปลี่ยนฯ ประจำปี พ.ศ. 2567 (รอบที่ 2) ซึ่งสำนักงาน ก.ค.ศ. จะดำเนินการแจ้งรายละเอียดกำหนดการให้ทราบต่อไป
ทั้งนี้ การจัดทำระบบย้ายสับเปลี่ยนข้าราชการครูฯ ถือเป็นการดำเนินการตามนโยบายของ พล.ต.อ. เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง “ครูและบุคลากรทางการศึกษาคืนถิ่น” ซึ่งต้องการให้ครูสามารถโยกย้ายกลับภูมิลำเนาด้วยกระบวนการที่โปร่งใส เป็นธรรม ไม่มีการซื้อขายตำแหน่ง เพื่อให้ทุกโรงเรียนได้มีบุคลากรซึ่งเป็นคนในพื้นที่เข้ามาทำการสอน โรงเรียนได้ครูครบชั้น เพื่อให้ครูมีความสุขกับการสอนซึ่งจะส่งผลต่อคุณภาพในการจัดการศึกษาของประเทศไทย
3. เห็นชอบ การกำหนดรายละเอียดตัวชี้วัดและคะแนนในการประเมินตามองค์ประกอบการประเมินศักยภาพของผู้ประสงค์ขอย้าย (กรณีปกติ) ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ประจำปี พ.ศ. 2567
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เสนอ ก.ค.ศ. พิจารณาเห็นชอบการกำหนดรายละเอียดตัวชี้วัดและคะแนนในการประเมินตามองค์ประกอบการประเมินศักยภาพของผู้ประสงค์ขอย้าย ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ประจำปี พ.ศ. 2567 (การย้ายกรณีปกติ และการย้ายกรณีเพื่อประโยชน์ของทางราชการ ประเภทที่ 1 การย้าย เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา กลุ่ม 1 การย้ายผู้บริหารสถานศึกษา เพื่อพัฒนาคุณภาพ การศึกษาในสถานศึกษาทั่วไป) เพื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ (ว 9/2567) ที่กำหนดให้ สพฐ. และส่วนราชการอื่นแจ้งการกำหนดขนาดสถานศึกษาและการกำหนดตัวชี้วัดฯ ดังกล่าว แจ้งสำนักงาน ก.ค.ศ. เพื่อเสนอ ก.ค.ศ. พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน ซึ่ง ก.ค.ศ. มีมติเห็นชอบรายละเอียดตัวชี้วัดและคะแนนในการประเมินตามองค์ประกอบการประเมินศักยภาพของผู้ประสงค์ขอย้าย (กรณีปกติ) ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ประจำปี พ.ศ. 2567 (การย้ายกรณีปกติ และการย้ายกรณีเพื่อประโยชน์ของทางราชการ ประเภทที่ 1 การย้าย เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา กลุ่ม 1 การย้ายผู้บริหารสถานศึกษา เพื่อพัฒนาคุณภาพ การศึกษาในสถานศึกษาทั่วไป)
4. เห็นชอบ รายงานผลการดำเนินการตามมาตรฐานทางจริยธรรม ประมวลจริยธรรม ข้อกำหนดจริยธรรม และกระบวนการรักษาจริยธรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ของสำนักงาน ก.ค.ศ.
คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ได้พิจารณารายงานผลการดำเนินการตามมาตรฐานทางจริยธรรม ประมวลจริยธรรม ข้อกำหนดจริยธรรม และกระบวนการรักษาจริยธรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ตามที่สำนักงาน ก.ค.ศ. เสนอ เพื่อนำเสนอคณะกรรมการมาตรฐานทางจริยธรรม (ก.ม.จ.) ต่อไปโดยสำนักงาน ก.ค.ศ. ได้รายงานผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ด้านมาตรฐานทางจริยธรรมและการส่งเสริมจริยธรรมภาครัฐ ทั้ง 5 ด้าน ได้แก่
- การสร้างมาตรฐานทางจริยธรรมภายในหน่วยงานของรัฐ
- การพัฒนาผลักดันนโยบายและระบบบริหารการส่งเสริมมาตรฐานทางจริยธรรมภาครัฐให้ครอบคลุมทุกหน่วยงานและทุกระดับ
- การส่งเสริมการนำมาตรฐานทางจริยธรรมไปใช้ในการบริหารงานบุคคล
- การรวมพลังทุกภาคส่วนในการสร้างสังคม-วัฒนธรรมทางจริยธรรม
- การสื่อสารเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและเสริมสร้างทัศนคติเรื่องมาตรฐานทางจริยธรรมและการกระทำผิด
ทั้งนี้ ก.ค.ศ. มีมติเห็นชอบรายงานผลการดำเนินการดังกล่าว โดยสำนักงาน ก.ค.ศ. จะดำเนินการส่งข้อมูลให้สำนักงาน ก.พ. รวบรวมและนำเสนอต่อ ก.ม.จ. เพื่อพิจารณาและเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป
5. เห็นชอบ การขอทบทวนหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
สืบเนื่องจากที่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 9 ราย ได้มีหนังสือขอให้ ก.ค.ศ. ตรวจสอบ ทบทวน ปรับปรุงและแก้ไข หลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ว 11/2567) โดยมีสาระสำคัญของข้อความและรายละเอียดเหมือนกันทุกฉบับ จำนวน 4 ประเด็น ได้แก่ 1) คุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครเข้ารับการคัดเลือก 2) การดำเนินการคัดเลือก 3) เกณฑ์การตัดสิน และ 4) การบรรจุและแต่งตั้ง
ก.ค.ศ. จึงได้พิจารณาจากประเด็นที่มีผู้ขอทบทวนหลักเกณฑ์และวิธีการฯ ว 11/2567 ความเห็นของคณะกรรมการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และความเห็นของสำนักงาน ก.ค.ศ. แล้วเห็นว่า เพื่อให้การดำเนินการคัดเลือกตามหลักเกณฑ์และวิธีการฯ ว 11/2567 มีความชัดเจนในทางปฏิบัติ ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้หลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี และเพื่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการ ที่จะได้บุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ มีประสบการณ์ ศักยภาพ มีความเป็นผู้นำ และสามารถขับเคลื่อนการบริหารจัดการการศึกษาตามนโยบายได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศ จึงมีมติเห็นชอบให้แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์และวิธีการฯ ว 11/2567
6. อนุมัติ แต่งตั้งประธานอนุกรรมการและอนุกรรมการ ใน อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา แทนตำแหน่งที่ว่างรวม 7 เขต
7. อนุมัติ ย้ายและแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ให้ดำรงตำแหน่งและวิทยฐานะเดิม ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแห่งใหม่ จำนวน 1 ราย
8. อนุมัติ บรรจุและแต่งตั้งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้ได้รับการคัดเลือกซึ่งขึ้นบัญชีรอการบรรจุ ให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 2 ราย
ที่มา สำนักงาน ก.ค.ศ.