ผลการศึกษาของคณะนักวิจัยจีนชี้ว่า หากปล่อยให้ประชาชนในภูมิภาคที่ใช้นโยบาย “โควิดเป็นศูนย์” เช่นจีนสามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างปกติในระดับเดียวกับเมื่อปี 2562 จะทำให้ภูมิภาคเหล่านั้นมีผู้เสียชีวิตเพราะโควิดปีละ 2 ล้านคน เผยหัวใจสำคัญในการควบคุมไวรัสคือพัฒนาวัคซีนที่ป้องกันการติดเชื้อ
รายงานของรอยเตอร์เมื่อวันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2565 กล่าวว่า คณะนักวิจัยของจีนใช้ผลการศึกษาจากชิลีและอังกฤษในการคำนวณ “เส้นประสิทธิภาพพื้นฐาน” ของวัคซีนที่ใช้อยู่ในประเทศนั้น ได้แก่ โคโรนาแวคของซิโนแวคในชิลี และไฟเซอร์กับแอสตร้าเซนเนก้าในอังกฤษ
นักวิจัยจีนประเมินว่า เส้นประสิทธิภาพพื้นฐานของวัคซีนในการป้องกันการติดโรคที่แสดงอาการอยู่ที่ 68.3% และประเมินว่า เส้นประสิทธิภาพพื้นฐานของวัคซีนต่อการเสียชีวิตอยู่ที่ 86% ส่วนประสิทธิภาพของวัคซีนในการป้องกันการติดเชื้อนั้นอยู่ที่ 30% โดยอ้างอิงจากข้อมูลของอังกฤษ ส่วนประสิทธิภาพต่อการติดเชื้อที่แสดงอาการป่วยและเสียชีวิตนั้นอ้างอิงข้อมูลจากผลการศึกษาโคโรนาแวคในชิลี
อย่างไรก็ดี ผลการศึกษาชิ้นนี้ของจีนกล่าวว่า ถึงแม้ว่าอัตราการฉีดวัคซีนทั่วโลกจะอยู่ที่ 95% แต่หากปล่อยให้ประชากรเคลื่อนย้ายได้อย่างอิสรเสรีเหมือนในระดับเดียวกับเมื่อปี 2562 ก่อนที่จะเกิดการระบาดของโควิด-19 การประเมินของคณะนักวิจัยจีนพบว่า ทุกภูมิภาคที่ยึดนโยบายโควิดเป็นศูนย์เช่นจีน จะมีผู้ติดเชื้อมากกว่า 234 ล้านคนภายใน 1 ปี รวมถึงผู้ติดเชื้อที่มีอาการป่วย 64 ล้านคน และมีคนเสียชีวิต 2 ล้านคน
“มนุษยชาติควรพัฒนาวัคซีนต่อไป และค้นหาหนทางใหม่ๆ ในการปรับปรุงการปกป้องของวัคซีนต่อการติดเชื้อ เพื่อกำจัดโควิด-19 ในระดับโลก” คณะนักวิทยาศาสตร์ของจีนเขียนไว้ในเอกสารที่ตีพิมพ์ในวารสารข่าวรายสัปดาห์ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคจีน (ซีซีดีซี) เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
คณะวิจัยจีนกล่าวด้วยว่า เพื่อลดอุบัติการณ์ของโควิด-19 มาสู่ระดับเดียวกับไข้หวัดใหญ่ภายหลังการรื้อฟื้นกิจกรรมตามปกติ ประสิทธิภาพของวัคซีนในการป้องกันการติดเชื้อจำเป็นต้องเพิ่มเป็น 40% และประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อที่แสดงอาการป่วย ต้องเพิ่มเป็น 90%
พวกเขาย้ำว่า สิ่งสำคัญสำหรับการพัฒนาวัคซีนชนิดใหม่ๆ คือประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ มากกว่าการป้องกันอาการป่วยหรือเสียชีวิต “หัวใจสำคัญของการควบคุมโควิด-19 อยู่ที่การพัฒนาวัคซีนและการใช้วัคซีนอย่างแพร่หลายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการป้องกันการติดเชื้อ”
จีนเป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่เพียงชาติเดียวในเวลานี้ที่ยังยึดนโยบายการติดเชื้อโควิดเป็นศูนย์ ถึงแม้จะมีคำเตือนว่ามาตรการที่เข้มงวดตามยุทธศาสตร์นี้ของจีนส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ประเทศอื่นๆ เช่น สิงคโปร์, ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ยกเลิกยุทธศาสตร์นี้แล้ว โดยหันไปใช้นโยบายที่เรียกว่า “การเรียนรู้ที่จะอยู่กับโควิด”
นักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขของจีนย้ำถึงความจำเป็นที่ต้องใช้มาตรการควบคุมอย่างเข้มงวดต่อไป โดยกล่าวกันว่า ความเสี่ยงของการแพร่เชื้อยังสูงเกินไป และการติดเชื้อจำนวนมากจะสร้างแรงกดดันต่อระบบรักษาพยาบาลจนเกินรับไหว
เมื่อวันจันทร์ รัฐบาลจีนยังได้ประกาศล็อกดาวน์เมืองไป่เซ ในเขตปกครองตนเองกว่างซี ที่เป็นเมืองติดชายแดนเวียดนาม โดยออกคำสั่งให้ประชากรในเมืองทางภาคตะวันตกเฉียงใต้แห่งนี้ที่มีประมาณ 3.6 ล้านคน อยู่กับบ้านและหลีกเลี่ยงการเดินทางที่ไม่จำเป็น หลังจากตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิดแล้วเกือบ 100 คน
ผัง จวิน รองผู้อำนวยการคณะกรรมการสุขภาพประจำภูมิภาค กล่าวว่า เมืองไป่เซมีผู้ติดเชื้อจากการแพร่เชื้อในชุมชนที่มีอาการยืนยันแล้ว 99 คน ระหว่างวันเสาร์ถึงเที่ยงวันจันทร์ และในจำนวนนี้มี 2 คนติดไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน
ถึงขณะนี้ มีอย่างน้อย 10 มณฑล, เขต และเทศบาลนครของจีนแผ่นดินใหญ่ ที่พบการแพร่เชื้อโอมิครอนภายในชุมชน แต่ไม่มีตัวเลขชัดเจนว่าเป็นจำนวนเท่าใด.