ผู้ชนะเลิศ The Change Makers ร่วมแชร์ไอเดียนโยบายสุดล้ำกับพี่โทนี่ อดีตนายกฯ ชี้ความกล้าคิดนอกกรอบของคนรุ่นใหม่สำคัญต่ออนาคตประเทศ เหตุที่ผ่านมาประเทศพัฒนาช้าเพราะหลงประวัติศาสตร์ แต่ไม่เข้าใจอนาคต
ผู้ชนะเลิศของโครงการ The Change Makers โครงการเฟ้นหาคนรุ่นใหม่โดยพรรคเพื่อไทย จำนวน 6 ทีม 6 ไอเดีย ซึ่งผ่านการคัดเลือกโดยนักการเมืองและคณะกรรมการมากประสบการณ์ ร่วมนำเสนอไอเดียและแลกเปลี่ยนแนวคิดกับ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือ Tony Woodsome ซึ่งถือเป็นผู้นำประเทศที่สร้างนโยบายเปลี่ยนชีวิตให้กับคนไทยหลายล้านคน ด้วยแนวคิดขจัดความจนด้วยเศรษฐกิจกินได้ จนเป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและในระดับโลก ในธีม “1 นายกฯรุ่นเก๋า VS 6 ไอเดียคนรุ่นใหม่” ผ่านระบบ Zoom แต่ละกลุ่มร่วมแสดงความคิดเห็นกับพี่โทนี่กลุ่มละ 17 นาที ถ่ายทอดสดผ่านคลับเฮาส์ของกลุ่มแคร์ และ Facebook live, Youtube เพจ Think คิดเพื่อไทย, กลุ่ม CARE และ Voice TV โดยผู้ชนะทั้ง 6 ทีม ได้นำเสนอไอเดียที่สามารถพัฒนาเป็นนโยบายสำหรับการพัฒนาประเทศในอนาคต
สำหรับ 6 ไอเดีย ที่ชนะเลิศ ได้แก่
1.อาชีวะ New Gen – ปฏิรูปการศึกษา ปูทางสู่อาชีวะสู่โลกอนาคต
2.ถั่วล้านไร่ – พืชเศรษฐกิจตัวใหม่แก้ความจนของเกษตรกร
3.ราชการคลิกเดียว – รับบริการของรัฐได้ผ่านแพลตฟอร์มเดียว
4.ตลาดช่างฝีมือ – ช่างฝีมือไทยสู่ตลาดแบรนด์ระดับโลก
5.Smart City Smart Life – ยกระดับชีวิตชาวเชียงใหม่ เข้าสู่สังคม New Normal
6.ค้าบริการถูกกฎหมาย – เพื่อสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ที่เท่าเทียม
ดร.ทักษิณ ได้แลกเปลี่ยนความคิดในนโยบายต่างๆ กับผู้ชนะทั้ง 6 กลุ่ม เช่น ผู้ชนะเลิศอันดับ 1 คือ กลุ่มอาชีวะ New Gen – ปฏิรูปการศึกษา ปูทางสู่อาชีวะสู่โลกอนาคต โดยผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้นำเสนอแนวทางการปรับการศึกษาทวิภาคีแบบใหม่ (Dual Education) หรือการศึกษาสายอาชีพ จากเดิมที่เน้นในห้องเรียนครึ่งหนึ่งและเน้นการปฏิบัติครึ่งหนึ่ง และไม่รองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบ S-Curve หรืออุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มาเป็นการแบ่งเวลาการเรียนในห้องเรียน ร่วมกับการเรียนภาคปฏิบัติกับบริษัทเอกชน ผู้เรียนจะได้รับเงินเดือนจากการทำงานกับบริษัทด้วย โดยภาครัฐสามารถเรียกเก็บภาษีจากการผลิตและจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นได้ ส่วนบริษัทจะได้รับประโยชน์จากการนำรายจ่ายจากเงินเดือนที่ว่าจ้างนักเรียนไปลดหย่อนภาษีรายจ่าย และยังได้จ้างแรงงานในราคาเป็นธรรม
โดย ดร.ทักษิณ ได้กล่าวชื่นชมแนวคิดนี้พร้อมระบุว่า เมื่อสมัยที่ตนเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ริเริ่มการศึกษาภาควิชาชีพ เนื่องจากไม่ต้องการนำใบปริญญามาแปะค่าการประกอบอาชีพ ซึ่งสวนทางกับการจ้างงานในตลาดโลก ระบบการศึกษานี้จะเปิดโอกาสให้เด็กมีความก้าวหน้าและมีโอกาสไปทำงานยังต่างประเทศได้
นอกจากนี้ ดร.ทักษิณ ได้ตอบคำถามผู้เข้าร่วมกิจกรรมถึงการปรับเปลี่ยนระบบการศึกษาไทยอย่างรวดเร็วและได้ผล (Quick win) ว่า ต้องเน้นการศึกษา 2 ประเภท เน้นอาชีวะ เพื่อให้คนทำงานมีทฤษฎีบ้างเพื่อต่อยอดในอนาคต ส่วนภาครัฐจะต้องให้ทุนการศึกษาในกลุ่มสายวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมมากขึ้น จบมาแล้วมีงานทำและตอบสนองความต้องการของตลาดโลก
ผู้ชนะเลิศอันดับ 4 กลุ่มตลาดช่างฝีมือ – ช่างฝีมือไทยสู่ตลาดแบรนด์ระดับโลก เป็นนโยบายพัฒนาช่างฝีมือไทยไปเป็นช่างฝีมือของแบรนด์ระดับโลก จากนั้นนำความรู้ที่ได้มาพัฒนาสินค้าไทยให้จำหน่ายตอบสนองความต้องการของโลกได้ โดยมีหลักการคือ “ค้นหา พัฒนา สาธิต” มีโครงสร้างฐานข้อมูลสินค้า ช่างฝีมือและระบบการขายครบวงจร มีเป้าหมายคือ รายได้ อุตสาหกรรมงานฝีมือ และช่างฝีมือไทยจะต้องถูกพัฒนาศักยภาพเพิ่มขึ้น
ดร.ทักษิณ กล่าวว่า แนวคิดนี้ คิดเป็นองค์รวมได้ดี เพราะขณะนี้ความต้องการสินค้าของโลก เป็นแบบ Mass Customization ผลิตเยอะแต่ตรงใจลูกค้า หากนำเอาโครงการนี้ไปพัฒนาต่อยอด มีโอกาสที่สินค้าไทยจะมีแบรนด์สินค้าหรูเทียบเท่ากับแบรนด์ต่างประเทศ
“โดยอย่าหลงความเป็นไทย แต่ต้องไม่ลืมความเป็นไทย หากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลควรนำทีมนี้เป็นที่ปรึกษากระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงพาณิชย์” ดร.ทักษิณกล่าว
ทั้งนี้ในช่วงท้าย ดร.ทักษิณ ยังได้มอบหนังสือ The Business Reinvention of Japan ให้ผู้ชนะเลิศ เป็นหนังสือเกี่ยวกับการสูญเสียเวลา 10 ปี ถึง 2 ครั้งของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งได้นำเอาสิ่งที่เสียไปมาศึกษาและพัฒนาประเทศ ผ่าน 2 กระบวนการ ได้แก่ 1.ปรับตำแหน่งทางกลยุทธ์ใหม่ (Strategic repositioning) โดยใช้นวัตกรรมเป็นหลัก และ 2. ปรับกระบวนการทำงานใหม่ ( Organization renewal) หนังสือเล่มนี้จะช่วยให้คนในรัฐบาลและภาคธุรกิจเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วย โดยหากการแพร่ระบาดของโควิด-19 จบลง แล้วประเทศไทยไม่รื้อและสร้างโครงสร้างใหม่ คือจบสิ้น เพราะถือเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะฟื้นฟูประเทศแล้ว
คณาพจน์ โจมฤทธิ์ ผู้อำนวยการคิดเพื่อไทย กล่าวขอบคุณทีมผู้ชนะที่มีความคิดสร้างสรรค์ มีความทุ่มเท และตั้งใจ จนสามารถผ่านเข้ามาถึงรอบสุดท้ายได้ และหวังว่าประสบการณ์ในการเข้าร่วมโครงการจะช่วยให้ทุกคนมีโอกาสนำสิ่งที่ได้รับจากโครงการไปต่อยอดให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อตนเอง สังคม ประเทศและโลก ได้ไม่มากก็น้อย
สำหรับโครงการ The Change Makers ได้เปิดตัวตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นรูปแบบนวัตกรรมทางการเมืองที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยการสร้างกระบวยการเรียนรู้ผ่านการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ ให้ผู้เข้าร่วมโครงการได้มีโอกาสร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมลงพื้นที่จริง มีการสร้างสรรค์นโยบายและผลงานให้เป็นรูปธรรม เข้าไปรับฟังปัญหาจากประชาชน จนไปถึงการสร้างต้นแบบของนโยบาย เพื่อที่จะได้นำนโยบายเหล่านี้ไปต่อยอดเกิดเป็นนโยบายจริงในอนาคต