ก็เรื่องข้อมูลการแปลงวีซ่าจากนักท่องเที่ยวจีนที่อยู่ได้ ๓๐ วัน เป็นวีซ่านักธุรกิจ หรือจิตอาสา เพื่ออยู่ต่อในประเทศได้เป็นปี
ตามที่ “คุณชูวิทย์” แฉวันก่อน ว่า….
“ผู้มีอำนาจในการอนุมัติให้เปลี่ยนวีซ่า ต้องเป็นระดับผู้บังคับการขึ้นไปของ สตม.” (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง)
โดยระหว่างปี ๖๓-๖๔ มีการอนุมัติให้ผู้เปลี่ยนประเภทวีซ่าแล้วกว่า ๓,๓๒๕ ราย
การเปลี่ยนวีซ่าต้องมีค่าใช้จ่าย ๑-๓ แสนบาทต่อราย นายตำรวจดังกล่าวมียศ พล.ต.ต.ถึง ๓ นาย
เป็น อดีต ผบก.ตม.๔ และ ตม.๕ โดยในนี้ มี ๒ นาย เป็นเพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) ๔๗ กับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.
เรียกร้องให้ ผบ.ตร.จัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นของตำรวจ ตม.” นั่นแหละ
เมื่อวาน ผบ.ตร.รีบจัดการให้ตามที่คุณชูวิทย์เรียกร้องแล้ว โดยมอบหมายให้
“พล.ต.ท.วีระ จิรวีระ รองจเรตำรวจ” เป็นประธานตรวจสอบข้อเท็จจริง และให้รายงานผลโดยเร็ว
ผบ.ตร.ดำรงศักดิ์ ย้ำว่า….
“ต้องไม่ปล่อยปละละเลย ไม่มีการช่วยเหลือ ว่ากันตามพยานหลักฐาน ข้อเท็จจริง
องค์กรต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ ไม่เพียงเฉพาะกรณีตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเท่านั้น”
สาธุ….
ขอให้ท่านเป็น “พญาปราบมาร” ที่อวตารลงมาเป็น ผบ.ตร.เก็บกวาด “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ทีเถอะ
ทำได้ ผมจะชักชวนประชาชนคนไทย “ลงขัน” สร้างอนุสาวรีย์ “ดำรงศักดิ์ผู้พิทักษ์ธรรม” ให้ชาวบ้านปิดทอง
“ขอหวย” บ้าง ตามอัธยาศัย!
พลันที่ “ภูเขาน้ำแข็ง” ใต้น้ำของคุณชูวิทย์ระเบิด ก็กลายเป็น “ภูเขาไฟใต้ก้น” พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์” ทันที
ในฐานะเป็น “ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง”
ซึ่งมี “กองบังคับการ” ใต้บังคับบัญชาท่าน กระจายไปทั้ง “เหนือ-ใต้-ออก-ตก” รวม ๖ ภาค
เมื่อชูวิทย์ “เปิดโปกลางบ่อน”….
แทงเต็งไปที่ ตม.ภาค ๔ ภาค ๕ ซะขนาดนั้น ใครจะนั่ง ยุบหนอ-พองหนอ อยู่ได้ล่ะ
พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ จึงออกมากางตำราว่ากล่าว
“การขออยู่ต่อ เป็นบริบทส่วนหนึ่ง ในเรื่องการอำนวยความสะดวกให้กับคนต่างด้าวที่ประสงค์อยู่ในไทย ซึ่งมันมีหลักเกณฑ์
อย่าง “ไทยแลนด์อีลิท” มีมานานแล้ว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เป็นผู้ออกบัตร
ถ้าคนต่างด้าวได้บัตรนี้มา ตม.มีหน้าที่ตรวจสอบว่าถูกต้องไหม เป็นบุคคลต้องห้ามหรือเปล่า?
ถ้าเขาได้รับบัตรมาโดยถูกต้อง ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ไม่เป็นบุคคลต้องห้ามอยู่ในบัญชีของ สตม.ที่ห้ามเดินทางเข้าประเทศ ตม.ต้องให้เขาอยู่ต่อ
เพราะฉะนั้น ตม.จะดู ๒ อย่าง
๑.ดูว่าเป็นตัวตนตามพาสปอร์ตหรือไม่
๒.ดูว่าเป็นบุคคลต้องห้ามหรือไม่
ถ้า ๒ กรณีนี้ครบ ตม.ต้องอนุญาตให้เขาเข้าประเทศ
แต่เราไม่รู้ว่า เขาทำผิดหรือทำถูก แต่ถ้าทำผิด ก็ต้องจับกุมให้ได้เร็วที่สุด
จะไปบอกว่า “ให้คนไม่ดีเข้าประเทศ” มันคนละนัย
เราให้คนที่มีคุณสมบัติและไม่เป็นบุคคลต้องห้ามเข้าประเทศ
มิติของ สตม. “คนไม่ดี” คือคนที่เป็นบุคคลต้องห้าม คนที่ทำผิดกฎหมาย หรือหน่วยงานระหว่างประเทศออกหมายจับ
ถ้ามีหมายจับ เราก็จับกุม นี้คือ “บุคคลต้องห้าม”
ต้องแยกระหว่าง “คนดี” กับ “บุคคลต้องห้าม” ให้ขาดจากกัน
การ “เปลี่ยนประเภท” การตรวจลงตราการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร เราเข้มมาตลอด ๑ ปี
เพราะรู้ว่า ความอ่อนไหวที่คนต่างด้าวอาศัยหลักเกณฑ์หรือเจ้าหน้าที่ ตม.เอง ตรวจเอกสารไม่ครบถ้วนสมบูรณ์มีการเข้มงวดมาตลอด
ตอนนี้ เรากำลังตั้งคณะทำงาน “ทบทวนหลักเกณฑ์ขออยู่ต่อในราชอาณาจักร” ในแต่ละเหตุผล
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของมูลนิธิ เรื่องการรักษาพยาบาล เรื่องการศึกษาของเอกชน ทั้งในระบบ-นอกระบบ
เช่นเดียวกับที่นายชูวิทย์ บอกว่า “โรงเรียนไม่กำหนดอายุ” เราจะกลับไปทบทวน
เพราะหนึ่งในมิติการเรียนรู้ สิ่งหนึ่งที่ยอมรับสากลโลก การเรียนรู้ทำได้ตลอดชีวิต
บางครั้ง จะใช้อายุไปจำกัด เหมาะสมหรือไม่ ต้องไปหารือกัน
คนที่เข้ามาอยู่ด้วยเหตุผลการศึกษา ต้องมีหนังสือรับรองจากสถาบันการศึกษา สถาบันการศึกษาก็ต้องจัดตั้งถูกต้อง
ทุกสิ่ง-ทุกอย่างในหลักเกณฑ์ สตม.เป็นเรื่ององคาพยพของทุกหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง
ต่อไป ทุกหน่วยงานราชการ ที่เกี่ยวข้องในมิติของคนต่างด้าวอยู่ต่อในราชอาณาจักร ต้องกอดกันให้แน่นๆ แนบแน่นยิ่งขึ้น
“ยกตัวอย่าง ตม.เชียงใหม่ ที่มีปัญหา ตั้งแต่ ๒ พ.ย.ที่ผ่านมา ผู้การ ตม.๕ ได้ไปทำเอ็มโอยูกับมูลนิธิ สถาบันการศึกษา
สถาบันศึกษาต้องรายงานผลการเรียนของต่างด้าวให้ ตม.๕ ทราบทุก ๓ เดือน
หากไม่มีการรายงานถือว่า “การอนุญาตสิ้นสุด” เขาต้องเดินทางออกนอกประเทศ
“มูลนิธิ” ก็ต้องรายงานการจัดกิจกรรมที่มีคนต่างด้าวไปอยู่ในมูลนิธินั้นด้วย
อันนี้ เราทำแล้ว ไม่ใช่เพิ่งทำ ทำก่อนมีกระแสข่าวออกมาอีก”
ครับ ถึงจะยาว แต่อะไรที่แฟร์กับทุกฝ่าย ต้องไม่ให้ความยาว-ความสั้น เป็นตัวจำกัด
ประเด็นที่ผมจะพูดมีนิดเดียว คือ……
ท่านรับตำแหน่งผู้บัญชาการ ตม.ต่อจาก “พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง” เมื่อปี ๖๔ นี่เอง
แต่ท่านเป็น “ลูกหม้อ ตม.” เติบโตมาในหน่วยงานนี้โดยตรงและโดยตลอด
ท่านบอกว่า ๑ ปีมานี้ “ตรวจเข้ม” ก็หมายความว่า ก่อนหน้าท่าน “ไม่เข้ม” หรืออย่างไรครับ?
ตามที่กล่าว อัน “กฎเกณฑ์-กฎหมาย” ไม่ต่างธรรมชาติ คือ “ขอบฟ้าจรดขอบน้ำ”
“จิตวิเคราะห์-จิตแยกแยะ” ด้วยประสบการณ์คนตม.นั่้นแหละที่ไปถึง “แยกได้-รู้ทัน” ว่าคนที่มาต่อวีซ่า
“ต่อซื่อ” หรือ “ต่อซื้อ”?
ผมเชื่อในความเป็น “มืออาชีพ” ของ ตม.
แต่อาจมีบาง “มืออาชีพ” ตามนัย ที่ชูวิทย์แฉ!
พูดให้ตรงประเด็นดีกว่า…….
เหตุที่เป็นปัญหา อยู่ตรง “กลุ่มจีนสีเทา” ที่เข้ามาตั้ง “มูลนิธิ” ระบุชื่อก็ได้ว่า “มูลนิธิปรานต์ฮั่นอวี่”
ตั้งแล้วกระจายสาขาไปทั่ว ไม่ว่าเหนือ-อีสาน ซึ่งคนละประเด็นกับที่ท่านพูดถึง “อีลิทการ์ด” และการเข้าเมือง
ประเด็นที่เป็นเรื่องมันอยู่ตรง….
คนจีนถือวีซ่านักท่องเที่ยวเข้ามาแล้วใช้ “มูลนิธิปรานต์ฮั่นอวี่” เป็นสถานที่รับรอง การขอเปลี่ยนวีซ่านักท่องเที่ยว
เป็นวีซ่านักธุรกิจ นักศึกษา และจิตอาสา
ด้วยมืออาชีพ ตม.ไม่สงสัยเลยหรือว่า….
แค่ ๒ ปี มูลนิธินี้ รับนักท่องเที่ยวจีน เป็นนักเรียน-นักจิตอาสา มาแปลงวีซ่า เฉพาะที่ ตม.๔ ขอนแก่น ตั้ง ๒ พันกว่าคน ที่ ตม.๕ เชียงใหม่ อีกนับร้อย
รวม ๒ แห่ง ตม.๔ กับ ตม.๕ แปลงวีซ่าให้นักท่องเที่ยวจีน ได้อยู่ประจำในไทย ตั้ง ๓,๓๒๕ ราย!?
ทั้งที่ “มูลนิธิ” นี้คุณชูวิทย์ไปสำรวจแล้ว ไม่มีสภาพอะไรเลย อย่าว่าแต่คน ๒ พัน ๓ พัน มาเรียน มาทำงานจิตอาสาเลย
แค่หมาท้องแก่เข้าไปคลอดลูกซักครอก ก็คับแคบแล้ว!
เรื่องนี้ “คนละประเด็น” กับตรวจสอบคนเข้าเมืองว่าเป็นคนดี เป็นบุคคลต้องห้าม
แต่มันเกี่ยวตรงเข้ามาแล้ว “ไม่ยอมออก”
สมคบกัน “แปลงวีซ่า” โดยใช้ “มูลนิธิ” รองรับสถานะไปยื่น “กรมการจัดหางาน” ให้ออกใบอนุญาตทำงานให้คนต่าวด้าว
แล้วก็สู่ขั้นตอน “แปลงวีซ่า” อยู่กันยาวเป็นปีๆ
ชนิดที่ต้องซื้อหมู่บ้าน “ยกโครงการ” กันเป็นพันๆล้านนั่นตะหาก!
เอาละ วันนี้ จบแค่นี้ ….
ผมแกะ “ลายแทง” จากภาพหมู่ตู้ห่าวหลายวันก่อน เห็น “นายตำรวจ” คนหนึ่ง แล้วนำมาจิกซอว์กับเรื่องนาฬิกา
สงสัยงานนี้ ไม่มีแค่ “อดีต ผบ.ตร.” ชื่อประชาคนเดียวซะแล้ว!?
คนปลายซอย