สวัสดีเจ้า พี่หลิง Dek-D เจ้า~ อิอิ ขออู้กำเมืองทักทายพอเป็นพิธี เพราะ TCAS Idol ของเราวันนี้พิเศษสุดๆ นอกจากจะเป็นไอดอลสุดน่ารักจากเมืองเจียงใหม่แล้ว ทั้งคู่ยังรับผิดชอบทั้งเรื่องงานและการเรียนได้ดีอีกด้วย เรียกว่าเป็นต้นแบบที่ดีสำหรับหลายๆ คนเลยค่ะ
ถ้าอยากรู้จักรุ่นพี่ทั้งสองคนแล้ว เรารีบไปเจอกับพี่ๆ กันเลยดีกว่าค่ะ เพราะ ‘พี่แองเจิ้ล – นภัสนันท์ ธรรมบัวชา’ และ ‘พี่นีน่า – ณัฐริกา บุญตั๋ว’ จาก ‘CGM48’ พร้อมแล้วที่จะมาพูดคุยกับเราเรื่องการเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แถมร่วมแชร์ประสบการณ์เรียนไปทำงานไป รับรองได้ว่าบทสัมภาษณ์นี้มีประโยชน์ไร้พิษภัย แต่ระวังโดนตกหัวใจไม่รู้ตัวน้า ><
เปิดรีวิวการเรียนคณะสายสังคม มช. กับ ‘แองเจิ้ล-นีน่า CGM48’
แนะนำตัวให้ชาว Dek-D รู้จักหน่อยค่า
แองเจิ้ล : สวัสดีเจ้า แองเจิ้ล CGM48 เจ้า ตอนนี้กำลังจะขึ้นปี 2 คณะ Social Science ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ค่ะ
นีน่า : สวัสดีค่า นีน่า CGM48 ค่า กำลังศึกษาอยู่คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ สาขาวิชาการระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ค่ะ
ทำไมทั้งสองคนถึงตัดสินใจสอบเข้าคณะนี้คะ หาตัวเองเจอได้อย่างไร
แองเจิ้ล : ตอนจะเลือกคณะ ช่วงนั้นเป็นเวลาที่คาบเกี่ยวมากๆ ค่ะ เพราะว่าเราติด CGM48 ตอนม.6 เทอม 2 เลยต้องย้ายมาเรียนที่เชียงใหม่ ทีแรกเราก็วางแผนไว้แล้วว่าจะเข้าคณะไหนที่กรุงเทพฯ พอย้ายมาที่นี่ เลยต้องหาคณะใหม่หมดเลย ซึ่งที่เชียงใหม่เนี่ย ก็มีคณะหลักสูตรอินเตอร์ให้เลือกไม่เยอะเท่าไร แต่เราก็เลือกคณะนี้เพราะมันได้เรียนรู้เกี่ยวกับมนุษย์ เป็นอะไรที่นำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ค่ะ
นีน่า : น่าเป็นคนที่ชอบภาษาอังกฤษค่ะ ชอบเรียนชอบพูดมากๆ แต่ไม่ได้ถึงขั้นเก่งนะคะ น่าชอบเรียนรู้ภาษาต่างๆ แล้วก็ชอบเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วยค่ะ ว่าเขามีความสัมพันธ์กันยังไง ประเทศนี้ส่งผลต่อประเทศนี้ยังไง น่ารู้สึกสนใจเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้และอยากศึกษาเพิ่มเติมค่ะ ในอนาคตก็อยากทำงานในกระทรวงการต่างประเทศ หรือทำอาชีพที่เกี่ยวข้องในด้านนี้ค่ะ
บรรยากาศการเรียนในคณะเป็นอย่างไรบ้างคะ ลองเล่าให้ฟังได้ไหมเอ่ย
นีน่า : บรรยากาศการเรียนในรั้วคณะรัฐศาสตร์ดีมากๆ เลยค่ะ น่าได้เจอเพื่อนๆ รุ่นพี่ รุ่นน้อง แทบจะทุกครั้งที่เข้ามาเรียนในคณะเลย เพราะคณะเราไม่ใหญ่มาก เลยทำให้เจอเพื่อนๆ ได้ง่ายค่ะ ไม่ว่าจะไปเรียนหรือไปรับประทานอาหาร แล้วเวลาเรียนบางวิชาก็จะได้เรียนในห้องประชุมใหญ่ๆ สลับกับในห้องเรียนปกติ บางครั้งก็เลยได้เรียนกับเพื่อนๆ สาขาอื่นหรือคณะอื่นด้วย เลยรู้สึกว่าได้เจอเพื่อนใหม่มากเป็นพิเศษค่ะ
ความท้าทายในการเรียนคณะนี้คืออะไรคะ
แองเจิ้ล : หนึ่งเลยที่ยากคือมันเป็นภาษาอังกฤษ ปกติเราเป็นคนไทยก็พูดภาษาไทย แต่นี่ต้องเรียนเป็นอังกฤษ มันมีศัพท์เฉพาะที่เราไม่ค่อยเข้าใจ อีกอย่างคือต้องอ่าน Journal และเขียน Essay เยอะมากๆ ไม่ใช่แค่ 100 คำแล้วเสร็จ แต่มันเขียนเป็นพันๆ คำ แล้วต้องมา Summarize ซึ่งมันยากมากๆ หนูก็คิดแบบ ‘เฮ้อ ฉันเลือกถูกไหม’ ตอนปีหนึ่งก็คิดแบบนี้ แต่พอเทอมสองก็ปรับตัวได้มากขึ้น เลยรู้สึกโอเค สนุกดี บวกกับมีเพื่อนๆ ช่วยด้วย ทำให้ทุกอย่างราบรื่นค่ะ (หัวเราะ)
นีน่า : เนื้อหาของแต่ละวิชาเยอะมากๆ ค่ะ ต้องใช้เวลาอย่างมากในการทบทวนบทเรียน ดังนั้นเนี่ย เราต้องแบ่งเวลาอ่านหนังสือให้ดี ถ้าอ่านไม่ทัน จะไปนั่งเดาคำตอบในห้องสอบ เหมือนสมัยเป็นนักเรียนไม่ได้เลยค่ะ
ขอรีวิววิชาที่ชอบเป็นพิเศษสัก 1-2 วิชาหน่อยค่า
แองเจิ้ล : วิชาที่ชอบก็มีอยู่ 2 ตัวค่ะ หนูเพิ่งได้เรียนตอนเทอมสอง วิชาแรกคือ Stat อีกวิชาคือ International Relations ค่ะ วิชา Stat เนี่ย จะเป็นฟีลประมาณว่า ใช้คอมพิวเตอร์ในการคำนวณ เหมือนกับทำ Survey ซึ่งหนูว่ามันปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้ ส่วนวิชา International Relations เป็นของคณะรัฐศาสตร์ แต่หนูก็ชอบ เพราะว่าเราได้เรียนรู้ประวัติของต่างชาติ ต่างประเทศ รู้สึกว่าชอบ แล้วคุณครูก็ใจดีมากๆ ด้วยค่ะ เอ้ย ไม่ใช่คุณครู อาจารย์ (หัวเราะ)
นีน่า : ที่น่าชอบเป็นพิเศษคือวิชา Readings in IR ค่ะ เป็นวิชาของเมเจอร์ที่ชอบเรียนมากๆ แต่ก็ได้คะแนนน้อยมากเลยค่ะ (หัวเราะ) ที่ชอบเพราะว่าเราได้เรียนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นภาษาอังกฤษหมดเลย อาจารย์ก็จะมีชีทเป็นภาษาอังกฤษหลายๆ หน้าให้เรียน แล้วเราก็ต้องมาแปลเอง อ่านเอง พอเวลาเรียนในคลาสอาจารย์จะช่วยแปลค่ะ เนื้อหาที่เรียนมันมีเยอะมากๆ แล้วคำศัพท์ที่ใช้ก็ยากมากด้วย ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยกับการอ่านมากจริงๆ ค่ะ
เวลาสอบ อาจารย์ก็จะออกสอบจากชีทที่เราเรียนเลยค่ะ มีทั้งคำศัพท์ที่เราเดาไม่ค่อยได้ว่าอาจารย์จะเอาคำไหนมาออก เพราะบทความที่เราเรียนเป็นภาษาอังกฤษหมดเลย มีคำศัพท์หลายคำมาก ก็เลยยากตรงนี้ค่ะ แล้วก็มีส่วนที่เป็น Unseen Passage ค่ะ จะเป็นบทความหรือข่าวต่างประเทศที่ไม่เคยเรียนมาก่อนเลย อารมณ์ประมาณข้อสอบแนว Reading ในวิชาภาษาอังกฤษทั่วไป เราต้องอ่านและต้องตอบตามคำถามที่อาจารย์ถามมา น่ารู้สึกว่าเป็นข้อสอบที่ท้าทายความสามารถมากๆ น่าใช้เวลาสอบ 3 ชั่วโมงเต็มทุกครั้งเลยนะคะเวลาสอบวิชานี้ ถึงวิชานี้จะยากแค่ไหน แต่น่าก็ชอบเรียนมากๆ เลยค่ะ
พอเข้ามาเรียนมหาลัยฯ แล้ว รู้สึกว่าบทบาทนักเรียนกับนักศึกษาต่างกันไหมคะ
แองเจิ้ล : รู้สึกว่าแตกต่างจากตอนเป็นนักเรียนมาก เพราะเราต้องรับผิดชอบมากขึ้นจากตอนเด็กๆ ตอนแรกที่เข้าไปเทอมหนึ่ง หนูงงมากว่าเราจะต้องลงเรียนวิชายังไง เพราะมันเป็นเลขรหัส แล้วก็มีเซคมีนู่นมีนี่มีนั่น รู้สึกว่ายากมากๆ เพราะตอนเราอยู่โรงเรียนคือมันก็จะมีตารางสอนมาให้เลย แล้วก็มีครูประจำชั้นที่เราถามได้ทุกอย่าง แต่พออยู่มหาลัยฯ เราต้องดูแลตัวเองมากขึ้น มันไม่มีใครมาช่วยเรามากเหมือนตอนเด็กๆ แล้วค่ะ แล้วด้วยความที่หนูเนี่ย ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย มันก็จะยากมากๆ เหมือน..สมมติว่ามีงานงานนึง แล้วเค้าถามว่า อะ ในช่วงวันนี้ถึงนี้ว่างไหม แต่เราไม่รู้เลยว่า ตอนนั้นน่ะจะว่างหรือเปล่า มันไม่สามารถรู้ได้เลยเพราะไม่มีครูประจำชั้นที่มาบอกตารางในอนาคตให้ เราต้องหาเองจากในเว็บของมหาลัย แบบว่ายากมากๆ ตอนนั้นหนูก็แทบจะทำไม่ถูกเลย แต่โชคดีค่ะที่มีเพื่อนๆ ช่วย
อีกอย่างคือปกติเนี่ยเด็กมหาลัยพอเรียนเสร็จก็ไปกินข้าวกับเพื่อนที่หลังมอ แต่ชีวิตหนูคือเรียนเสร็จปุ๊บต้องรีบกลับหอไปซ้อมเต้น มันมีอิสระน้อยลง แต่เราก็ได้ทำสิ่งที่ชอบ มันก็ไม่ได้เศร้าขนาดนั้นนะคะ แค่แบบว่าได้อย่างเสียอย่าง หนูรู้สึกว่าการทำงานไปด้วยทำให้เราได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่คนอายุเท่าเราไม่ได้ทำ
นีน่า : ต่างกันมากๆ เลยค่ะ สมัยน่าเป็นนักเรียน ห้องเรียนนึงก็จะมีนักเรียนไม่เกิน 50 คน คุณครูก็สามารถดูแลเราได้ทั่วถึง เวลาใครไม่ตั้งใจเรียน คุณครูก็จะเห็น เข้ามาตักเตือนได้ แต่สำหรับนักศึกษาคือเป็นความรับผิดชอบของใครของมันเลยค่ะ เพราะเวลาเราเรียนในหอประชุมใหญ่ๆ มีนักศึกษาเป็นร้อยสองร้อยกว่าคน อาจารย์ไม่สามารถเห็นได้ทุกคนค่ะ ใครไม่ตั้งใจเรียนเขาก็จะปล่อยผ่านไป ไม่มีการว่ากล่าวตักเตือนใดๆ ค่ะ
สรุปคือแม้เราจะมีอิสระในการเรียนมากขึ้น แต่เราก็ต้องมีความรับผิดชอบในตัวเองมากๆ เลยค่ะ
การเป็นไอดอลไปพร้อมๆ กับเรียนมหาวิทยาลัยเป็นอย่างไรบ้างคะ คิดว่าการทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยมีข้อดีหรือข้อเสียอย่างไรบ้าง
แองเจิ้ล : หนูจะบอกว่าข้อดีมันมีเยอะมากกก (ลากเสียงยาว) ได้ทำงานไปด้วยคือเหมือนอยู่ปี 4 เลย เหมือนได้ฝึกงานเลยตอนนี้ เราได้เจออุปสรรคจริงๆ ที่ต้องเจอในอนาคตก่อนเพื่อนๆ ก็รู้สึกดีนะคะ ส่วนข้อเสียเนี่ยต้องมีแน่นอน เราต้องเสียอิสระที่เราจะไปเล่น ไปพักผ่อน เราเหนื่อยสองเท่า แต่ก็ได้ประสบการณ์มากขึ้นด้วย
หนูคิดว่าชีวิตเราครั้งนึงก็อยากใช้ให้คุ้ม หนูอายุ 19 ได้ครั้งเดียว อายุ 19 นี้ก็อยากลองทำทุกอย่างที่คิดว่าตั้งใจจะทำค่ะ
นีน่า : สำหรับน่านะคะ มันเหนื่อยมากๆ เลยค่ะ เพราะว่าเราต้องทั้งเรียนไปด้วยทำไปด้วย ทำให้เหนื่อยกว่าเพื่อนมากๆ ข้อเสียคือเราจะมีเวลาในการเรียน การทำงานที่อาจารย์สั่ง หนักสุดคือเวลาอ่านหนังสือน้อยกว่าคนอื่น ดังนั้น เราต้องจัดสรรการแบ่งเวลาให้ดีจริงๆ ถ้าพลาดนิดเดียวก็คือไปต่อไม่ได้เลย
ส่วนข้อดีคือการได้ฝึกประสบการณ์ชีวิต ได้เตรียมความพร้อมในการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ที่สำคัญคือน่าสามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่างๆ ของตัวเองได้ ไม่ต้องรบกวนพ่อแม่เลยค่ะ
สุดท้ายนี้ อยากฝากอะไรถึงน้องๆ ที่กำลังเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยไหมคะ
แองเจิ้ล : ก็อยากให้สู้ๆ นะคะ จะเจออุปสรรคอะไรก็ขอให้ผ่านพ้นไปได้ค่ะ ช่วงมหา’ลัยอาจเป็นช่วงที่ยากนิดนึง แต่มันคืออนาคตของเราเลยเนอะ ถ้าเกิดว่าเราไม่ตั้งใจทำมันตอนนี้ ก็อาจจะมาเสียใจทีหลัง สู้ๆ พี่เป็นกำลังใจให้เสมอนะคะ ไว้เจอกันนะคะ ขอบคุณค่า ^^
นีน่า : ถ้าน้องๆ รู้ว่าตัวเองชอบในสิ่งไหน อยากที่จะศึกษาอะไรต่อ ก็ต้องอ่านหนังสือให้เยอะๆ เตรียมตัวให้พร้อม และทำให้เต็มที่ค่ะ เท่านี้คณะที่น้องๆ ใฝ่ฝันไว้ก็ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน สู้ๆ นะคะน้องๆ พี่นีน่าเป็นกำลังใจให้นะคะ โชคดีค่า ^^
คณะสายสังคมจากรั้ว ม.เชียงใหม่ น่าสนใจไม่น้อยเลยใช่ไหมคะ บางคนอาจกังวลว่าดูยากขนาดนี้ เราจะเรียนไหวไหม ที่จริงแล้ว ไม่ว่าคณะไหนก็ยากกันคนละแบบทั้งนั้น ถ้าพยายามซะอย่าง ยังไงก็ไม่เกินความสามารถเราแน่นอน เหมือนที่พี่แองเจิ้ลกับพี่นีน่าตั้งใจแบ่งเวลาให้การเรียน จนประสบความสำเร็จทั้งในฐานะไอดอลและนักศึกษาไงล่ะ ^^ อ่านบทสัมภาษณ์นี้จบแล้ว อย่าลืมฮึดสู้แบบพี่ๆ แล้วเต็มที่เพื่ออนาคตดูนะคะ สู้ๆ !