ศธ.หารือก.พ.หลังพบขรก.หลายสังกัดเอี่ยวกองทุนเสมาฯ รอคำตอบจากกรมบัญชีกลางจะสามารถนำดอกผลกองทุนไปเยียวยาเด็กที่ได้รับผลกระทบ ได้หรือไม่
วันที่ 6 มิ.ย.2561 นายอรรถพล ตรึกตรอง ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในฐานะประธานสืบข้อเท็จจริงกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบความเสียหายและการเยียวยาเงินให้แก่สถานศึกษา ว่า จากที่ได้สรุปผลการสืบข้อเท็จจริงกรณีโกงกองทุนเสมาพัฒนาชีวิตเสนอต่อ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัด ศธ.โดยมีผู้เกี่ยวข้องจำนวน 25 ราย รวมนางรจนา สินที อดีตข้าราชการชำนาญการพิเศษระดับ 8 สำนักส่งเสริมกิจการการศึกษา ของ สป.ศธ. ที่ถูกลงโทษไล่ออกจากราชการไปก่อนหน้านี้ โดยครั้งนี้เป็นการสรุปข้อมูลครั้งสุดท้ายเรื่องการเยียวยา ภายหลังทำการตรวจทานสเตทเมนท์ของวิทยาลัยพยาบาล สังกัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) 26 แห่ง และโรงเรียนราชประชานุเคราะห์/ศึกษาสงเคราะห์ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) 41 แห่งนั้น คณะกรรมการสืบข้อเท็จจริงฯ พบว่าจะต้องเยียวยาแก่สถานศึกษาเป็นเงินทั้งสิ้น 18,655,825 บาท แบ่งเป็นโรงเรียน สพฐ. 20 แห่ง จำนวน 7,290,825 บาท และวิทยาลัยพยาบาล 20 แห่ง จำนวน 11,365,000 บาท
ขณะเดียวกัน ยังต้องเรียกเงินคืนจากวิทยาลัยพยาบาล 5 แห่ง และโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 1 แห่ง รวม 6 แห่ง ซึ่งตรวจสอบพบว่ามีการโอนเงินเกินไปจากนางรจนา และพวก ซึ่งเมื่อหักลบแล้วจะมียอดเงินที่ต้องเรียกคืนรวม 1,140,691 บาท รวมถึงให้จ่ายเงินชดเชยในส่วนที่ขาดด้วย ทั้งนี้ จะเสนอคณะกรรมการบริหารกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต ที่มีนายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัด ศธ. เป็นประธาน ทั้งนี้ เงินเยียวยานี้จะให้ย้อนหลังไป 10 ปี ทั้งนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ และจบการศึกษาไปแล้ว แต่ส่วนใหญ่สถาบันการศึกษามักแก้ปัญหาด้วยการจ่ายเงินเด็กกองทุนนี้ด้วยเงินส่วนอื่นไปก่อน
ด้านนายการุณ กล่าวถึงความคืบหน้าในการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตกองทุนเสมาฯ ว่า ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างให้นิติกรตรวจสอบสำนวน ที่คณะกรรมการสืบข้อเท็จจริงฯ สรุปมา แต่เนื่องจากผู้ที่คณะกรรมการสืบข้อเท็จจริงฯ ชี้มูลว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตกองทุนเสมาฯ ทั้ง 25 รายนั้น เป็นข้าราชการในหลายระดับอยู่ในหลายสังกัด ไม่ได้มีแค่สังกัด ศธ.เท่านั้น เช่น สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทย จึงเป็นประเด็นว่ากรณีที่เกี่ยวกับข้าราชการหลายคน และมีผู้บังคับบัญชาหลายระดับเช่นนี้ ใครจะเป็นผู้บังคับบัญชาที่สามารถดำเนินการสั่งสำนวนได้ เช่น ร้ายแรง ไม่ร้ายแรง หรือยุติ ดังนั้น เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.2561 ศธ.จึงได้ทำหนังสือหารือไปยังสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ว่ากรณีลักษณะนี้ ใครจะเป็นผู้มีอำนาจในการสั่งสำนวน เพื่อให้เกิดความชัดเจนและดำเนินการที่ถูกต้อง ส่วนการสอบความผิดทางละเมิดนั้นยังอยู่ระหว่างการทาบทามกรรมการเข้ามาทำหน้าที่
“ถึงแม้จะมีข้าราชการ ศธ.เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้และสามารถเสนอ รมว.ศึกษาธิการ สั่งการได้ แต่ก็มีคนของหลายหน่วยงานมาเกี่ยวข้องต้องดูให้ละเอียด ซึ่งการหารือกับก.พ.จะได้แนวทางชัดเจน ว่าให้แต่หน่วยงานสั่งสำนวนเอง สั่งอย่างไร หรือจะทำสำนวนในภาพรวมทีเดียว จากนี้คงต้องรอทาง ก.พ.ตอบมา ซึ่งหลังจากส่งหนังสือเป็นทางการแล้วผมก็จะประสานอย่างไม่เป็นทางการขอให้ทาง ก.พ.ช่วยพิจารณาโดยเร็วด้วย”
ปลัด ศธ.กล่าวและว่า ส่วนการเยียวยาให้แก่ผู้รับทุนกองทุนเสมาฯ นั้น ขณะนี้ยังรอข้อมูลจากนายอรรถพล แต่ก่อนหน้าที่มีการประชุมคณะกรรมการบริการกองทุนเสมาฯ ได้มีมติให้ทำหนังสือสอบถามไปยังกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ว่ากองทุนฯ สามารถนำเงินที่มีอยู่ ซึ่งเป็นในส่วนของกำไร มาใช้เพื่อเยียวยาเด็กที่ไม่ได้รับทุนได้หรือไม่ ซึ่งก็ได้ทำหนังสือไปเรียบร้อยแล้ว รอทางกรมบัญชีกลาง ตอบกลับมา หากตอบกลับมาเช่นไรก็จะนัดประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ทันที ซึ่งถ้ากรมบัญชีกลาง ตอบว่าสามารถใช้เงินดังกล่าวได้ ที่ประชุมก็สามารถอนุมัติการจ่ายเพื่อเยียวยาได้ทันที เพราะมีเงินแล้ว ขณะเดียวกันในการประชุมครั้งต่อไป ก็จะต้องพิจารณาไปถึงการวางมาตรการสำหรับการดูแลเด็กทุนเสมาฯ รุ่นใหม่ และจัดทำคู่มือการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯด้วย
** อ่านต้นฉบับเต็มได้ที่ หนังสือพิมพ์สยามรัฐ