รุ่น 2 เพื่อช่วยนักเรียนนักศึกษา สามเณรในพื้นที่กันดารได้มีโอกาสศึกษาต่อ จนจบป.ตรี จะได้กลับไปพัฒนาถิ่นเกิดเพื่อช่วยกันพัฒนาประเทศ
นายสุรศักดิ์ อินศรีไกร ผอ.สำนักอำนวยการ รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผน สพฐ. เป็นประธานพิธีเปิดโครงการปฐมนิเทศนักเรียนทุนการศึกษาเฉลิมราชกุมารี ระยะที่ 2 รุ่นที่ 2 โดยมีผู้เข้าร่วมพิธีประกอบด้วย นักเรียนทุนการศึกษาเฉลิมราชกุมารี ระยะที่ 2 รุ่นที่ 2 พร้อมทั้งครูผู้ดูแลนักเรียน รวมทั้งสิ้น 420 คน ณ ห้องเรซสิเดนท์ โรงแรมริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ
สำหรับโครงการทุนการศึกษาเฉลิมราชกุมารี เกิดขึ้นจากที่ครม.ได้มีมติเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2559 อนุมัติให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินโครงการทุนการศึกษาเฉลิมราชกุมารี เพื่อร่วมถวายพระพรและแสดงความจงรักภักดีเนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระเจริญพระชนมายุ 60 พรรษา เมื่อปีพ.ศ. 2558 ด้วยการสนับสนุนทุนการศึกษาให้แก่นักเรียน นักศึกษา และสามเณร ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลกันดาร ได้มีโอกาสเรียนต่อระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย จนจบระดับชั้นปริญญาตรี และเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วควรกลับไปเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาท้องถิ่นของตัวเอง ซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาประเทศโดยรวม
ทั้งนี้ ได้จัดสรรทุนการศึกษา ระหว่างปีการศึกษา 2560-2577 จำนวน 600 ทุนต่อปี ในส่วนสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้รับการจัดสรรทุนปีละ 210 ทุน ประกอบด้วยโรงเรียนสังกัดกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน 10 ทุน โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 10 ทุน และโรงเรียนสังกัด สพฐ. 190 ทุน โดยนักเรียนจะได้รับทุนการศึกษาปีละ 25,000 บาท ซึ่งได้ผ่านขั้นตอนการคัดเลือกตามที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดแล้ว
นายสุรศักดิ์กล่าวว่า นักเรียนที่มีโอกาสได้รับการพิจารณาคัดเลือกให้ได้รับทุนการศึกษาเฉลิมราชกุมารี ถือเป็นนักเรียนที่มีความประพฤติดี เรียนดี มีความมุ่งมั่นศึกษาเล่าเรียน โดยได้ผ่านกระบวนการคัดเลือกจากสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด ภายใต้ข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ที่ก.ศึกษาธิการกำหนด จึงเห็นได้ว่าการคัดเลือกนักเรียนทุนเฉลิมราชกุมารีมีขั้นตอนการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ จึงขอให้นักเรียนมีความภูมิใจ ตระหนัก และตั้งใจศึกษาเล่าเรียนจนจบการศึกษาระดับชั้นปริญญาตรี ให้เป็นนักเรียนทุนการศึกษาเฉลิมราชกุมารีที่มีคุณค่า เพื่อกลับไปพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่อนาคตของชาติต่อไป
** อ่านต้นฉบับเต็มได้ที่ หนังสือพิมพ์สยามรัฐ