“หมอธี”ย้ำหลักสูตรพัฒนาครูเฟส2เข้มข้น ยันไม่มีเส้นสาย เน้นมาตรฐานจริง ด้าน สพฐ.ยึด4หลักการครูไม่ทิ้งเด็ก
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวถึง การพัฒนาครูรูปแบบครบวงจรปีการศึกษา 2561 ว่าขณะนี้ทราบว่ามีหน่วยพัฒนาครูเสนอหลักสูตรพัฒนาครูให้สถาบันคุรุพัฒนา พิจารณารับรองกว่า 5,000 หลักสูตร แต่ปรากฏว่ามีหลักสูตรที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานน้อยมาก เพราะปีนี้ ตนได้ให้นโยบายและกำชับสถาบันคุรุพัฒนา ต้องพิจารณาหลักสูตรด้วยความเข้มข้น เนื่องจากปีที่ผ่านมามีถูกติงว่าสถาบันคุรุพัฒนา ให้ผ่านง่ายเกินไป ไม่ตรงวัตถุประสงค์เพื่อนำไปพัฒนาเด็กจริง ๆ และหลักสูตรที่อบรมส่วนใหญ่จะเน้นเรื่องเทคนิคการสอนไม่ค่อยมีองค์ความรู้ ฉะนั้นปีนี้คณะกรรมการพิจารณาหลักสูตร จึงต้องพิจารณาด้วยความเข้มข้นและต้องหลายขั้นตอน โดยผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้เป็นหลักสูตรที่ได้มาตรฐานอย่างแท้จริง
“เรื่องการพิจารณาเพื่อรับรองหลักสูตรพัฒนาครู เข้มข้นก็ว่า ไม่เข้มข้นก็ว่า ต้องหาจุดลงตัว แต่ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจก่อนว่าทำเพื่ออะไร ถ้าทำเพื่อครูก็ต้องยอมรับในมาตรฐาน ถ้าคิดว่าไม่ดีก็ต้องเสนอแนะเข้ามา ซึ่งสถาบันคุรุพัฒนา และคณะกรรมการพิจารณาหลักสูตร ล้วนแต่เป็นนักวิชาการก็ต้องนำไปคิด แต่ผมจะไม่ยุ่งเรื่องการพิจารณาหลักสูตรเลย เพราะเป็นหน้าที่ของสถาบันคุรุพัฒนา แม้แต่หลักสูตรของมูลนิธิที่ผมเป็นประธานอยู่เสนอเข้ามาก็ยังตก หรือหลักสูตรของคนรู้จักก็ยังตก ซึ่งผมก็บอกไปว่าเรื่องนี้ไม่มีการใช้เส้นใด ๆ ทั้งสิ้น หลักสูตรที่ผ่านจะต้องได้มาตรฐานจริง ๆ”
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สิ่งที่ต้องการคือหลักสูตรที่ไม่มีผู้เสนอให้สถาบันคุรุพัฒนารับรอง ซึ่งตนจะให้นโยบายไปว่าสถาบันคุรุพัฒนา ต้องออกไปตามหาและให้การรับรองหลักสูตรเหล่านั้น แต่ทั้งนี้ต้องเป็นหลักสูตรที่ได้มาตรฐานตามเกณฑ์ที่กำหนดด้วย เพื่อให้ครูเข้าไปรับการอบรม เช่น บูทแคมป์ หรือการอบรมออนไลน์ เพื่อให้ครูได้รับการอบรมอย่างทั่วถึง เพราะบางคนอาจจะอยู่ไกลเดินทางไม่สะดวก
ด้าน ดร.บุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) กล่าวว่าสำหรับการจัดโครงการฯ ระยะที่ 2 มีหลักการที่สำคัญ 4 เรื่อง คือ 1.การคัดเลือกหลักสูตร ให้เป็นหน้าที่ของสถาบันคุรุพัฒนา ที่จะพิจารณาว่า หลักสูตรที่หน่วยจัดอบรมเสนอมาเป็นไปตามหลักวิชาการหรือไม่ เมื่อสถาบันคุรุพัฒนา พิจารณาหลักสูตรเรียบร้อยแล้วก็จะส่งหลักสูตร มาที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ซึ่ง สพฐ.ก็จะพิจารณาโดยคณะกรรมการอีก 2-3 คณะ เพื่อให้มั่นใจว่าหลักสูตรนั้น ๆ มีความเหมาะสมกับการนำมาพัฒนาครูอย่างแท้จริง และสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ศธ. และสพฐ.
เรื่องที่ 2.ค่าลงทะเบียน มีความเหมาะสมหรือไม่ เพราะไม่ว่าหน่วยจัดอบรมจะเป็นภาคเอกชนหรือภาครัฐ สพฐ.ก็ต้องอนุมัติภายใต้กรอบระเบียบของกระทรวงการคลัง ว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม และที่สำคัญมาตรการประหยัดของ สพฐ. ซึ่งมีการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าเกณฑ์ที่คลังกำหนด เพราะ สพฐ.มีภาระต้องดูแลครูกว่า 400,000 คน 3.คุณภาพหลักสูตร ซึ่งมีการติดตามประเมินว่าหน่วยจัดได้ทำตามเงื่อนไขการจัดอบรมหรือไม่ โดย สพฐ.จะมีคณะกรรมการประเมินหลักสูตร ประกอบด้วย ผอ./รอง ผอ.เขตพื้นที่ ผู้แทนครูที่เข้ารับการอบรม มาช่วยกันประเมินว่า หากไม่ผ่านประเมินและไม่ทำตามเงื่อนไขที่เสนอกับสถาบันคุรุพัฒนา สพฐ.ก็จะแจ้งให้สถาบันคุรุพัฒนาเพิก ถอนการอนุมัติหลักสูตร ซึ่งจะส่งผลให้ไม่สามารถเบิกเงินที่จัดอบรมได้ และสุดท้าย 4.การกำหนดระยะทางในการเดินทางไปอบรมของครู โดยเบื้องต้นได้หารือว่าจะให้อยู่ในกลุ่มจังหวัด เพราะไม่อยากให้ครูเดินทางไกล ซึ่งนอกจากต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงแล้วยังต้องเบียดบังเวลาราชการที่จะต้องอยู่กับเด็กได้
** อ่านต้นฉบับเต็มได้ที่ หนังสือพิมพ์สยามรัฐ