บอร์ด สกสค.มีมติจ้างที่ปรึกษากฎหมายแก้ปมทุจริตในองค์กร – จ้าง”กูรู”ธุรกิจหาทางฟื้นฟูธุรกิจให้องค์การค้าฯ
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคคลากรทางการศึกษา (สกสค.) และคณะกรรมการบริหารองค์การค้าของ สกสค.เมื่อเร็วๆ นี้ ได้รายงานความคืบหน้าการแก้ปัญหาทุจริตที่เกิดขึ้นภายใน สกสค.และองค์การค้าฯ ซึ่งพบว่าหลายเรื่องดำเนินการค่อนข้างล่าช้า ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับปัญหาด้านกฎหมาย ที่ประชุมจึงมีมติให้ สกสค.ยกร่างสัญญาจัดจ้างบริษัทที่ปรึกษาด้านกฎหมายที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อให้คำแนะนำและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งใน สกสค.และองค์การค้าฯ ขณะเดียวกัน ยังมีมติจ้างที่ปรึกษาทางธุรกิจและการเงิน มาดูทิศทางฟื้นฟูการทำธุรกิจของ สกสค.และองค์การค้าฯ เนื่องจากที่ผ่านมาประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนัก และหากใช้คนเดิมคิด การแก้ปัญหาก็จะวนอยู่กับปัญหาเดิมๆ จึงอยากให้คนนอก เข้ามาช่วยคิดเพื่อหาทางรอดให้กับทั้ง 2 หน่วยงาน
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบตามที่ สกสค.เสนอขอกู้เงินจากสถาบันการเงิน จำนวน 1,200 ล้านบาท เพื่อนำเงินมาจ่ายแก่เจ้าหน้าที่และพนักงานองค์การค้าฯ 2,411 คน ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.)ให้ปรับเงินเดือนให้แก่ข้าราชการและรัฐวิสาหกิจ ตั้งแต่ปี 2547 ปี 2549 และปี 2550 รวม 3 ครั้ง แต่องค์การค้าฯ ยังไม่มีการปรับเงินเดือน โดยอ้างว่ายังมีภาระหนี้สินอยู่กว่า 5,000ล้านบาท ซึ่งพนักงานได้ฟ้องร้อง และศาลฎีกาตัดสินแล้วว่า องค์การค้าฯ ต้องจ่ายเงินให้พนักงาน ซึ่งจะต้องหาแหล่งเงินกู้ โดยให้ใช้ที่ดินขององค์การค้าฯ เป็นหลักทรัพย์ในการค้ำประกัน ส่วนจะกู้จากสถาบันการเงินใดนั้น สกสค.จะต้องไปพิจารณารายละเอียด แต่จะต้องเป็นสถาบันการเงินที่ให้ดอกเบี้ยต่ำที่สุด
ดร.สุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(กอศ.) ปฏิบัติหน้าที่ ผอ.องค์การค้าฯ กล่าวว่า ขณะนี้องค์การค้าฯ ยังไม่ได้สรุปว่าจะใช้ที่ดินผืนใดในการค้ำประกันวงเงินกู้ กับสถานบันการเงิน ซึ่งองค์การค้าฯ มีที่ดินทั้งหมด 9 ผืน ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยที่ดินย่านลาดพร้าว มีจำนวน48ไร่ ราคาประเมินสูงสุดอยู่ที่ 2,800 ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างประเมินราคาใหม่เชื่อว่าน่าจะมีราคาสูงขึ้น
นอกจากนี้ ตนยังได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบงบกำไรขาดทุนขององค์การค้าฯ ในปี 2559 ภาพรวมถือว่าผลประกอบการเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยตัวเลขขาดทุนลดลง 18.55 ล้านบาท รวมดอกเบี้ยที่เกิดจากหนี้สินในอดีตทำให้ผลประกอบการติดลบอยู่ที่ 156.48 ล้านบาท ขณะที่ภาระหนี้สินภาพรวมเพิ่มขึ้นเป็น 6,009 ล้านบาท จากปี 2558 ซึ่งมีหนี้สินรวม 5,000 ล้านบาท เนื่องจากคำสั่งศาลฎีกาให้องค์การค้าฯ จ่ายเงินค้างจ่ายให้แก่พนักงาน 1,210 ล้านบาท
** อ่านต้นฉบับเต็มได้ที่ หนังสือพิมพ์สยามรัฐ