ฯพณฯ Tun Abdullah Ahmad Badawi อดีตนายกฯคนที่ 5 จากที่ก่อนหน้าม.วลัยลักษณ์ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยหลายแห่งในมาเลเซีย พร้อมร่วมคารวะหลุมฝังศพรำลึกอดีตเลขาฯอาเซียน ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ
ศ.ดร. สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีม.วลัยลักษณ์เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ฯพณฯ Tun Abdullah Ahmad Badawi อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 5 ของประเทศมาเลเซีย และภริยา พร้อมด้วย Mr.MohdAfandi Abu Bakar กงสุลมาเลเซียประจำจังหวัดสงขลา คณะผู้แทนจากโรงเรียนปอเนาะบ้านตาล จังหวัดนครศรีธรรมราชรวม 14 คน เดินทางมาเยือนมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์อย่างเป็นทางการ โดยมีคณะผู้บริหาร คณบดี คณาจารย์และเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัย ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น
ศ.ดร.สมบัติกล่าวว่า การเดินทางมาเยือนม.วลัยลักษณ์ในครั้งนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจที่อดีตนายกฯมาเลเซียพร้อมคณะ ที่จะได้มาพบกับผู้บริหารและทำความรู้จักกับม.วลัยลักษณ์ด้วยตนเอง โดยก่อนหน้านี้อดีตนายกฯมาเลเซียทราบมาบ้างแล้วว่า ม.วลัยลักษณ์มีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยหลายแห่งในมาเลเซีย โดยมี Mr.MohdAfandi Abu Bakar กงสุลมาเลเซียประจำจังหวัดสงขลา ช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกต่างๆ แก่นักศึกษาและบุคลากรของมหาวิทยาลัยด้วยดีมาโดยตลอด
นอกจากนี้ การมาเยือนครั้งนี้สืบเนื่องจากการมีส่วนช่วยพัฒนาม.วลัยลักษณ์ของอดีตเลขาฯอาเซียน ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ ผู้ซึ่งเป็นชาวจังหวัดนครศรีธรรมราชโดยกำเนิด ปัจจุบันได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว ซึ่ง ฯพณฯ Tun Abdullah Ahmad Badawi ได้ให้เกียรติเดินทางไปคารวะหลุมฝังศพที่มัสยิด Tha-It Mosque,Nonthaburi ก่อนเดินทางมายังจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมทั้งปาฐกถาในพิธีรำลึกถึง ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ “Memorial Talk on Dr.SurinPitsuwan” ด้วย
โอกาสนี้ตนพร้อมด้วยผู้บริหารของมหาวิทยาลัยได้รายงานพัฒนาการความก้าวหน้าของมหาวิทยาลัย พร้อมกล่าวถึงนโยบายการขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยให้ก้าวสู่สากล มุ่งสู่มหาวิทยาลัยแห่งคุณภาพ รวมถึงความคืบหน้าโครงการก่อสร้างศูนย์การแพทย์ฯ ผลสำเร็จด้านงานวิจัยที่ปัจจุบันม.วลัยลักษณ์ได้รับการจัดอันดับ (Ranking) โดย the Nature Index Ranking ในปี 2018 อยู่ที่ระดับ 10 ของประเทศ และปี 2019 Scimaga Institutions Ranking อยู่ในอันดับที่ 7 มีศูนย์วิจัย 18 ศูนย์ ศึกษาวิจัยเพื่อตอบสนองทั้งในระดับชุมชนและระดับชาติ จากนั้นอธิการบดีม.วลัยลักษณ์ได้นำคณะเยี่ยมชมสวนม.วลัยลักษณ์ และโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ ก่อนที่คณะจะเดินทางกลับ
** อ่านต้นฉบับเต็มได้ที่ หนังสือพิมพ์สยามรัฐ