ทุกวันจะมีข่าวผู้เสียชีวิตที่บ้าน เพราะต้องรอเตียงในโรงพยาบาล ขณะเดียวกันจำนวน ‘ผู้ป่วยโควิด 19’ รายใหม่ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ‘วิกฤตเตียงเต็ม’ ห้องไอซียูแน่นจนขยายไม่ได้ โดยเฉพาะในพื้นที่กทม.
เมื่อวันที่ 21 ก.ค.2564 ที่ผ่านมา กรมการแพทย์ ได้ปรับปรุง แนวทางในการดูแลรักษา ‘ผู้ป่วยโควิด 19′ อีกครั้ง (หลังจากมีการปรับปรุงมาแล้วหลายรอบ) และต่อให้เป็นแนวทางการ ‘รักษาโควิด 19’ เวชปฏิบัติ การวินิจฉัย ดูแลรักษา และป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาลของของแพทย์และบุคลากรสาธารณสุข แต่มีหลายส่วนที่ประชาชนควรรับทราบ
‘กรุงเทพธุรกิจ’ ได้สรุปรวบรวมมาให้ดังนี้
- อาการที่จะได้ตรวจหาเชื้อเข้าสู่การรักษา
มีประวัติไข้หรือวัดอุณหภูมิได้ตั้งแต่ 37.5°C ขึ้นไป
ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ ไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส หายใจเร็ว หายใจเหนื่อย
หายใจลําบาก ตาแดง ผื่น ถ่ายเหลว
มีประวัติเสี่ยง ในช่วง 14 วัน ก่อนวันเริ่มป่วย อย่างใดอย่างหนึ่งดังนี้
– เดินทางไปหรือมาจากหรืออยู่อาศัยในประเทศที่มีรายงานผู้ป่วยในช่วง 1 เดือน ย้อนหลังนับจากวันที่ออกจากพื้นที่นั้น
– สัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันโควิด 19
– ไปในสถานที่ชุมนุมชนหรือสถานที่เสี่ยง
– ทำงานในสถานกักกันโรค
– ผู้ป่วยโรคปอดอักเสบที่แพทย์สงสัยว่าเป็นโควิด
– เป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่อาการและแพทย์ผู้ตรวจรักษาสงสัยว่าเป็นโควิด 19
– พบผู้มีอาการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจเป็นกลุ่มก้อนตั้งแต่ 5 ราย ขึ้นไป
– ผู้สัมผัสเสี่ยงสงู ทั้งที่มีอาการและไม่มีอาการ
- 4 กลุ่มอาการที่ตามระดับความรุนแรง
1.ผู้ป่วยไม่มีอาการอื่น ๆ หรือสบายดี
ข้อแนะนํา:
-ให้แยกกักตัวที่บ้าน หรือในสถานที่รัฐ จัดให้อย่างน้อย 14 วัน
– ให้ยาฟ้าทะลายโจร ดูแลรักษาตามดุลยพินิจของแพทย์
2.ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง ไม่มีปอดอักเสบ ไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง
ข้อแนะนำ:
-พิจารณาให้ยาฟาวิพิราเวียร์ เร็วที่สุด
-หากตรวจพบเชื้อมาเกิน 7 วัน และผู้ป่วยไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยอาจไม่จําเป็นต้องให้ยาต้านไวรัส เพราะผู้ป่วยกลุ่มนี้น่าจะหายได้เองโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน
-ให้แยกกักตัวที่บ้านหรือในสถานที่รัฐจัดให้ 14 วัน
-หากเข้าเกณฑ์รักษาแบบ home isolationหรือ community isolation ก็สามารถให้การรักษาได้ โดยให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค เป็นเวลาอย่างน้อย 14 วัน นับจากวันที่เริ่มมีอาการหรือจนกว่าอาการจะดีขึ้น อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง
3.ผู้ป่วยที่ไม่มีอาการ หรือมีอาการไม่รุนแรง แต่ที่มีปอดบวม (pneumonia) เล็กน้อย/มีปัจจัยเสี่ยง คือ
-กลุ่มผู้สูงอายุ มากกว่า 60 ปีขึ้นไป และ 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง คือ โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือดโรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง. โรคอ้วน(น้ำหนักมากกว่า 90 กก. หรือ BMI ≥30 กก./ตร.ม.) โรคมะเร็ง และ โรคเบาหวาน รวมถึงตับแข็ง ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำา และ lymphocyte น้อยกว่า 1,000 เซลล์/ลบ.มม.
ข้อแนะนำ:
-ให้รักษาในโรงพยาบาลโดยให้อยู่ในระบบการรักษาและการแยกโรคอย่างน้อย14วันนับจากวันที่เริ่มมี อาการหรือจนกว่าอาการจะดีขึ้น
-ให้ยาฟาวิพิราเวียร์ โดยเริ่มให้ยาเร็วที่สุดให้ยานาน5วัน หรือมากกว่า ขึ้นกับอาการและความเหมาะสมหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
– พิจารณาให้corticosteroidร่วมกับยาฟาวิพิราเวียร์ ในกรณีที่มีผู้ป่วยมีอาการและภาพถ่ายรังสีปอดที่แย่ลง
4.ผู้ป่วยยืนยันที่มีปอดบวมที่มี hypoxia (resting O2 saturation ≤96 %) หรือมีภาวะลดลงของออกซิเจน SpO2 ≥3% ของค่าที่วัดได้ครั้งแรกขณะออกแรง หรือภาพรังสีทรวงอกมี progression ของ pulmonary infiltrates
ข้อแนะนำ:
-ให้ใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ เป็นเวลา 5-10 วัน ขึ้นกับอาการทางคลินิก
-อาจพิจารณาให้lopinavir/ritonavir5-10วันร่วมด้วย(ตามดุลยพินิจของแพทย์)
- วิธีดูแล’ผู้ป่วยโควิด 19′ อายุน้อยกว่า 15 ปี
มีการให้ใช้ยาในการรักษาจําเพาะดังนี้
1.กลุ่มไม่มีอาการ
-ให้ดูแลรักษาตามดุลยพินิจของแพทย์
2.กลุ่มมีอาการไม่รุนแรง ไม่มีปอดบวม ไม่มีปัจจัยเสี่ยง
-ให้ดูแลรักษาตามอาการ พิจารณาให้ยาฟาวิพิราเวียร์ เป็นเวลา 5 วัน
3.กลุ่มที่อาการไม่รุนแรง แต่มีปัจจัยเสี่ยง หรือมีอาการปอดบวมเล็กน้อย และอายุน้อยกว่า 1 ปี หรือมีภาวะเสี่ยงอื่น ๆ เหมือนเกณฑ์ในผู้ใหญ่
-ให้ยาฟาวิพิราเวียร์ เป็นเวลา 5 โดยแพทย์พิจารณาตามความเหมาะสม
4.กลุ่มที่มีอาการปอดบวม หายใจเร็วกว่าอัตราการหายใจตามกําหนดอายุ
-ให้ยาฟาวิพิราเวียร์ เป็นเวลา 5-10 วัน (อาจพิจารณาให้ร่วมกับ lopinavir/ritonavir เป็นเวลา 5-10 วัน)
- การใช้ยาในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์
การใช้ ยาฟาวิพิราเวียร์ ในหญิงตั้งครรภ์มีโอกาสเกิด teratogenic effect
– ตรวจการตั้งครรภ์ก่อนเริ่มยานี้ ให้พิจารณาเริ่ม ยาต้านไวรัส ตามข้อบ่งชี้เช่นเดียวกับผู้ป่วยอื่นๆ
–หญิงตั้งครรภ์ตั้งแต่ไตรมาศที่ 1ที่อาการไม่รุนแรงไม่มีปอดอักเสบให้รักษาตามอาการ
–หญิงตั้งครรภ์ตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ที่มีปอดอักเสบ อาจพิจารณาใช้ remdesivir เนื่องจากมีข้อมูลความปลอดภัย
–หญิงตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 2 และ 3 ถ้าแพทย์พิจารณาใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ ในรายที่มีอาการไม่รุนแรง โดยเป็นการตัดสินใจร่วมกับผู้ป่วยและญาติ แต่ถ้ามีปอดอักเสบ อาจพิจารณาใช้ remdesivir
–การติดเชื้อจากแม่สู่ลูกแบบ vertical transmission นั้น พบประมาณร้อยละ 2-5 และส่วนใหญ่ของทารกไม่เกิดอาการรุนแรง การรักษาจึงเน้นการรักษาแม่เป็นหลัก
-การศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกา มีข้อบ่งชี้ในการพิจารณาให้ remdesivir กรณีหญิงตั้งครรภ์ที่มีปอดอักเสบ
- ใช้ ‘ยาฟ้าทะลายโจร’ในการรักษาโควิด 19
อย่างที่ทราบกันดีว่า ยาฟ้าทะลายโจร อาจมีฤทธิ์ anti-SARS-CoV-2, anti-inflammatory และลดอาการไข้หวัด เจ็บคอ
-มีการพิจารณาใช้ฟ้าทะลายโจรในผู้ป่วยที่ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อย ไม่มีปัจจัย เสี่ยงต่อการเกิด โควิด 19 รุนแรง และไม่มีข้อห้ามต่อการใช้ ฟ้าทะลายโจร
-ข้อมูลจากการศึกษาเบื้องต้น พบว่าอาจช่วยลดโอกาสการดําเนินโรคไปเป็นปอดอักเสบได้ ขณะนี้กําลังมีการศึกษาเพิ่มเติม
-ยังไม่มีข้อมูลการศึกษาผลการใช้ฟ้าทะลายโจรร่วมกับยาต้านไวรัสชนิดอื่น และไม่แนะนําให้ใช้ฟ้าทะลายโจรเพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิด 19
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: 4แนวทาง รักษา ‘ผู้ป่วยโควิด-19’ และชนิดของยาที่ใช้รักษา
เช็ค 4 หลักเกณฑ์ กทม.แยกผู้ป่วย ‘โควิด-19’ รักษาตัวที่บ้าน
สธ.ปรับแผนใช้ ‘ยาฟาวิพิราเวียร์’ใช้กับผู้ป่วยทุกกลุ่มเสี่ยง
- ส่งต่อ ‘ผู้ป่วยโควิด 19’ ต้องปฎิบัติตามนี้
1.กลุ่มผู้ป่วยโควิด 19 ที่ไม่มีอาการ
-ให้แยกกักที่บ้านหรือสถานที่รัฐจัดให้
2.กลุ่มผู้ป่วยโควิด 19 ที่มีอาการไม่รุนแรง ภาพถ่ายรังสีปอดปกติ ไม่มีภาวะเสี่ยง/ โรคร่วมสําคัญ
-ให้แยกกักที่บ้านหรือสถานที่รัฐจัดให้ หรือ โรงพยาบาล
3.กลุ่มผู้ป่วยโควิด 19 ที่มีปอดอักเสบเล็กน้อย มีปัจจัยเสี่ยง/ โรคร่วมสําคัญ
-ให้ส่งไปยังโรงพยาบาลหรือสถานที่รัฐจัดให้
4.กลุ่มผู้ป่วยโควิด 19 ที่มีอาการปอดอักเสบ หรือ มี SpO2 ที่ room air น้อยกว่า 96%
– ให้ส่งไปยังโรงพยาบาล
ทั้งนี้ หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรงเกินกว่าที่โรงพยาบาลต้นทางจะดูแลได้ ควรส่งต่อโรงพยาบาลแม่ข่ายที่ศักยภาพสูงกว่า นั้น โรงพยาบาลต้นทาง ควรประสานการส่งต่อผู้ป่วยในระยะเริ่มแรก
- กักตัว 14 วันหลังรักษาโควิดหาย
อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้ป่วยได้รับการรักษาหายและออกจากโรงพยาบาลแล้ว ต้องปฎิบัติดังต่อไปนี้
1.งดออกจากบ้านไปยังชุมชนทุกกรณี ยกเว้นการเดินทางไปโรงพยาบาลโดยการนัดหมายและการจัดการโดยโรงพยาบาล
2.ให้แยกห้องนอนจากผู้อื่น
– ถ้าไม่มีห้องนอนแยกให้นอนห่างจากผู้อื่นอย่างน้อย3-5เมตร
– ต้องเป็นห้องที่เปิดให้อากาศระบายได้ดี
-ผู้ติดเชื้อนอนอยู่ด้านใต้ลม หากไม่สามารถจัดได้อาจจะต้องให้ผู้ติดเชื้อพักที่ศูนย์แยกโรคชุมชน
จนพ้นระยะการแยกโรค
3.ถ้าแยกห้องน้ำได้ควรแยก
-ถ้าแยกไม่ได้ให้เช็ดพื้นผิวที่มีการสัมผัสด้วยน้ำยาทําความสะอาดหรือน้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น แอลกอฮอล์หลังการใช้ทุกครั้ง
4.การดูแลสุขอนามัยให้สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากเมื่อต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่น
5.ล้างมือด้วยสบู่และน้ำเป็นประจํา โดยเฉพาะหลังจากถ่ายปัสสาวะ หรืออุจาระหรือถูมือด้วยเจลแอลกอฮอล์70%
6.ไม่รับประทานอาหารร่วมวงกับผู้อื่น
7.หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้อื่นในระยะไม่เกิน 2 เมตร การพบปะกันให้สวมหน้ากากตลอดเวลา
8.ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอรับประทานอาหารที่สุก สะอาด และมีประโยชน์ครบถ้วนตามหลักโภชนาการ
9.หากมีอาการป่วยเกิดขึ้นใหม่หรืออาการเดิมมากขึ้น เช่น ไข้สูง ไอมาก เหนื่อย แน่นหน้าอก หอบหายใจไม่สะดวก เบื่ออาหารให้ติดต่อสถานพยาบาล หากต้องเดินทางมา สถานพยาบาลแนะนําให้สวมหน้ากากระหว่างเดินทางตลอดเวลา
10.หลังจากครบกำหนดการกักตัวตามระยะเวลานี้แล้วสามารถประกอบกิจกรรมทางสังคมและทํางานได้ตามปกติตาม