โรงเรียนบางแห่งบนเกาะเมาวี รัฐฮาวาย เริ่มเตรียมเปิดชั้นเรียนอีกครั้ง ขณะที่ การจราจรบนถนนสายหลักก็เริ่มกลับมาวิ่งแล่นอีกครั้ง หลังสถานการณ์ไฟป่าครั้งใหญ่ที่ปะทุขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วทำลายเมืองเก่าของเกาะนี้จนย่อยยับและทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 110 คนแล้ว ตามรายงานของสำนักข่าวเอพี
หน่วยงานด้านการศึกษาของฮาวายเปิดเผยว่า แม้พื้นที่เมืองลาไฮนา เมืองเก่าแก่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ถูกไฟเผาทำลายไปทั้งหมด มีโรงเรียนอย่างน้อย 3 แห่งของเมืองนี้ที่รอดพ้นการถูกทำลายโดยเปลวเพลิงมาได้ และเจ้าหน้าที่กำลังทำการประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นจากลมกรรโชกแรงอยู่
นอกจากนั้น หน่วยงานด้านการศึกษายังได้เริ่มกระบวนการทำความสะอาดและเก็บกวาดเศษซากจากเหตุไฟป่าและการทดสอบคุณภาพอากาศและน้ำตามโรงเรียนต่าง ๆ พร้อม ๆ กับเปิดพื้นที่ให้นักเรียนนักศึกษาของสถาบันต่าง ๆ มารับอาหารและบริการคำปรึกษาต่าง ๆ ได้แล้ว โดยเฉพาะในส่วนของการให้คำปรึกษาที่เปิดกว้างให้กับสมาชิกในครอบครัวของนักเรียนและเจ้าหน้าที่ของสถาบันการศึกษาทั้งหลายด้วย
ขณะเดียวกัน สำนักงานจัดการภัยพิบัติของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (Federal Emergency Management Agency – FEMA) เปิดศูนย์ฟื้นฟูภัยพิบัติแห่งแรกบนเกาะเมาวีเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนผู้ประสบภัยในการรับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับความช่วยเหลือต่าง ๆ
อีกด้านหนึ่ง เฮอร์มาน อันดายา ผู้อำนวยการหน่วยบริการงานฉุกเฉินเมาวี ออกมาโต้ตอบเสียงร้องเรียนว่า ทางหน่วยงานไม่ได้เปิดสัญญาณไซเรนเตือนเหตุไฟป่าให้กับประชาชน โดยให้เหตุผลว่า ที่ไม่ได้เปิดไซเรนนั้นเป็นเพราะความกังวลว่า ผู้คนจะตกใจและแห่กันหนีขึ้นเขาหรือเข้าไปในพื้นที่กลางเกาะ ซึ่งหมายถึงการมุ่งหน้าเข้าไปในกองไฟ
แต่รายงานข่าวระบุว่า ในพื้นที่หุบเขาของเกาะเมาวีนั้นไม่ได้มีการติดตั้งระบบไซเรน ขณะที่ ไฟป่านั้นลุกลามในลักษณะกระจายตัวลงมาตามไหล่เขา
ทั้งนี้ ฮาวายได้ติดตั้งระบบที่มีการโฆษณาว่า เป็นระบบไซเรนเตือนภัยภายนอกอาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลก หลังเกิดเหตุคลื่นยักษ์สึนามิในปี 1946 ที่คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า150 ราย
ผอ.อันดายา ยังกล่าวด้วยว่า ระบบที่ว่านั้นมีไว้ใหรับการเตือนภัยสึนามิ ไม่ใช่ไฟป่า แต่เว็บไซต์ของระบบนี้ระบุว่า ไซเรนที่ว่าสามารถใช้งานสำหรับการเตือนภัยเหตุอัคคีภัยได้
นอกเหนือจากเรื่องการไม่เปิดไซเรนแล้ว เจ้าหน้าที่ในระดับท้องถิ่นและระดับรัฐยังถูกประชาชนวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับภาวะขาดแคลนน้ำเพื่อใช้ดับไฟและกระบวนการอพยพที่วุ่นวายและทำให้ประชาชนไม่น้อยต้องติดอยู่ในรถบนถนนที่มีภาวะการจราจรติดขัดโดยมีไฟไล่หลังตามมาด้วย
ในส่วนของปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัยนั้น เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเปิดเผยว่า จนถึงวันอังคารที่ผ่านมา สามารถเดินตรวจสอบพื้นที่ประสบภัยแล้วราว 38% และมีการเพิ่มจำนวนทีมที่มีการใช้สุนัขดมกลิ่นช่วยเป็นกว่า 40 ทีมแล้ว เนื่องจาก สภาพพื้นที่และความร้อนทำให้สุนัขไม่สามารถทำงานติดต่อกันได้นาน
ผู้ว่าการรัฐฮาวาย จอช กรีน เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า ศพของประชาชนบางส่วนนั้น “บางภาพเป็นสิ่งที่เกินกว่าจะนำมาแสดงให้เห็น หรือแม้แต่มองดูได้” โดยยกตัวอย่างการพบศพของครอบครัวที่มีสมาชิก 4 คนในรถในสภาพไหม้เกรียมและครอบครัวที่มีสมาชิก 7 คนที่เสียชีวิตในบ้านที่ถูกเผาจนเป็นจุณ
ที่มา: เอพี