นักวิจัยมหาวิทยามหาสารคาม (มมส) เปิดตัว “เหลือง มมส” ไหมไทยลูกผสมสายพันธุ์ใหม่ แข็งแรง เลี้ยงง่าย ให้ผลผลิตสูง พร้อมผลักดันสู่ภาคการเกษตรเชิงพาณิชย์
ทีมวิจัย มมส นำโดย ผศ.ดร.สาน วิไล ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ และผู้ร่วมวิจัย 4 ท่าน ได้แก่ ผศ.ดร.จุฑาพร แสงประจักษ์ น.ส.จุฑารัตน์ จามกระโทก นายวรพจน์ รักสังข์ และนายสุวัฒน์ พรมมา ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนโครงการวิจัยการเกษตรเชิงพาณิชย์ จากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. และศูนย์ความเป็นเลิศทางนวัตกรรมไหม มมส ดำเนินการวิจัย “การปรับปรุงพันธุ์ไหมพันธุ์ไทย ลูกผสมรังสีเหลืองพันธุ์ใหม่” ในชื่อ “เหลือง มมส”
ผศ.ดร.สาน เปิดเผยว่า ตนและคณะวิจัย ได้ปรับปรุงพันธุ์ไหมพันธุ์ไทยลูกผสมรังสีเหลืองพันธุ์ใหม่ โดยการผสมข้ามพันธุ์ระหว่างไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้าน กับไหมพันธุ์ต่างประเทศ ได้แก่ พันธุ์หัวฝาย (H) และพันธุ์โชวะ (E) ปรับปรุง โดยได้ทำการเลี้ยงทดสอบและผลิตไข่ไหมให้เกษตรกรเลี้ยง เพื่อเป็นการทดสอบในพื้นที่ อ.ยางสีสุราช จ.มหาสารคาม ซึ่งผลการทดสอบเลี้ยงไหมกับกลุ่มเกษตรกรพบว่า ได้ผลดีในระดับที่น่าพอใจ เกษตรกรที่ทดสอบเลี้ยงพึงพอใจมากต่อการเลี้ยงไหม เพราะมีจุดเด่นที่แตกต่างกว่าพันธุ์ที่เคยเลี้ยง คือ ปริมาณเส้นไหมที่ได้รับให้ผลผลิตสูง แข็งแรง เลี้ยงง่าย จึงเป็นพันธุ์ไหมที่มีความเหมาะสมที่จะส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยงต่อไป
สำหรับการปรับปรุงพันธุ์ไหมพันธุ์ไทยลูกผสมรังสีเหลืองพันธุ์ใหม่ โดยการผสมข้ามพันธุ์ระหว่างไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้าน 2 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์หัวฝาย (H)และพันธุ์คอตั้ง (K)กับไหมสายพันธุ์ต่างประเทศ 4 สายพันธุ์ ได้แก่ KS1, KS3, KS5 และพันธุ์โชวะปรับปรุง (E หรือS) โดยทดสอบประสิทธิภาพของการให้ลูกผสม จำนวน 6 คู่ผสม และเปรียบเทียบพันธุ์ไหม 4 คู่ผสมในท้องถิ่นต่างๆ โดยมีพันธุ์ดอกบัว (UB1 x นางน้อย) เป็นพันธุ์มาตรฐานเปรียบเทียบ และการทดสอบไหมพันธุ์ไทยลูกผสมพันธุ์ใหม่ ในภาคเกษตรกร
ทั้งนี้ จากการศึกษาทำให้ได้ไหมพันธุ์ไทยลูกผสมรังสีเหลืองพันธุ์ใหม่ ที่เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างใช้ไหมพันธุ์หัวฝายเป็นแม่ ซึ่งหนอนไหมมีลักษณะแต้มลายบนลำตัว เป็นแบบปกติ รังไหมมีลักษณะหัวป้านท้ายแหลม รังสีเหลือง ผสมพันธุ์กับพันธุ์โชวะปรับปรุงเพศผู้ หนอนไหมมีลักษณะขาวปลอดและเลี้ยงง่าย รังไหมกลมรีสีขาว ผลปรากฏได้หนอนไหมลูกผสมพันธุ์ H x E ลำตัวมีลักษณะแต้มลายเป็นแบบปกติ รังไหมมีลักษณะกลมรี สีเหลือง ขนาดของรังสม่ำเสมอ ให้ชื่อไหมพันธุ์ใหม่ว่า “เหลือง มมส”
ดังนั้น ไหมพันธุ์ไทยลูกผสมรังสีเหลืองพันธุ์ใหม่ “เหลือง มมส” จึงมีความเหมาะสมที่จะนำไปส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยง เนื่องจาก แข็งแรง เลี้ยงง่าย ให้ผลผลิตสูง และรังมีคุณภาพ เมื่อเปรียบเทียบกับไหมพันธุ์ที่เกษตรกรนิยมเลี้ยง ทั่วไปแล้วรังไหม 1 รัง ได้เส้นไหมยาวประมาณ 700-800 เมตร จึงเป็นพันธุ์ไหมที่เหมาะส่งเสริมให้กับเกษตรกรที่เลี้ยงไหมเชิงอุตสาหกรรมได้โดยเฉพาะในเขต จ.มหาสารคาม
ผศ.ดร.สาน กล่าวทิ้งท้ายว่า จากความสำเร็จในการปรับปรุงพันธุ์ไหมจนทำให้ได้ไหมพันธุ์ไทยลูกผสมรังสีเหลืองพันธุ์ใหม่ ตนเองในฐานะนักวิจัย มมส เชื่อว่าอุตสาหกรรมไทย น่าจะหันมาพัฒนาสายพันธุ์ และส่งเสริมการใช้เส้นไหมที่เป็นทั้งพันธุ์ไทยพื้นเมือง ที่มีเอกลักษณ์ดั้งเดิมของไหมไทย และการส่งเสริมการใช้เส้นไหมที่มีการพัฒนาจากพันธุ์ไทยที่เป็นลูกผสม ที่จะสามารถให้อุตสาหกรรมไหมไทย มีความเจริญรุดหน้าส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้ในอนาคต
** อ่านต้นฉบับเต็มได้ที่ หนังสือพิมพ์สยามรัฐ