เผยแพร่: ปรับปรุง: โดย: ผู้จัดการออนไลน์
แคสเปอร์สกี้แนะ 7 วิธีดูแลเด็กไทยให้ปลอดภัยออนไลน์-ออฟไลน์ หลังการศึกษาพบ 54% ดูสื่อลามก, 36% เคยจีบกันทางออนไลน์ และ 26% เคยเปิดวิดีโอคอลทางเพศ
นางสาวเบญจมาศ จูฑาพิพัฒน์ ผู้จัดการประจำประเทศไทยของแคสเปอร์สกี้ กล่าวว่าการวิจัยของแคสเปอร์สกี้สะท้อนชัดเจนว่าทุกคนมีความเสี่ยงต่อการหลอกลวงและภัยคุกคามออนไลน์ ผู้ก่อภัยคุกคามไม่สนใจว่าใครจะอายุเท่าไร หรือเป็นใครมาจากไหน ทุกคนคือเหยื่อในเกม และวิธีเดียวที่จะหยุดยั้งการตกเป็นเหยื่อภัยออนไลน์ได้คือ การให้ความรู้การศึกษาที่ดีขึ้นที่มากยิ่งขึ้น เพื่อให้คนทุกวัยรู้จักสังเกตและหลีกเลี่ยงกลโกงการหลอกลวงที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันได้
“ตอนนี้เราอยู่ในสังคมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล เด็ก ๆ คืออนาคตของเรา และยังมีอีกหลายสิ่งที่ผู้ใหญ่ต้องทำทั้งที่โรงเรียนและที่บ้าน เพื่อสอนเด็กๆ ถึงวิธีการออนไลน์อย่างปลอดภัย ถึงแม้ว่าเด็กๆ มักจะเชื่อว่าตนนั้นมีความรู้และทักษะเพียงพอในการป้องกันตัวเอง แต่แท้จริงแล้ว เด็กและเยาวชนก็ยังคงตกเป็นเหยื่อของกลโกงฟิชชิงที่ง่ายที่สุด และเนื่องจากข้อมูลของผู้ใช้ในโลกออนไลน์มีมากขึ้น ภัยคุกคามจึงมีความซับซ้อนมากขึ้นเช่นกัน” นางสาวเบญจมาศกล่าวเสริม
การดูแลเด็กๆ ให้ปลอดภัยทางออนไลน์ถือเป็นประเด็นสำคัญสำหรับผู้ปกครองในปัจจุบัน จากการสำรวจเด็กไทยและความเสี่ยงทางออนไลน์ที่จัดทำโดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม 2565 พบว่าเด็กไทยอายุ 9 – 18 ปีจำนวน 81% มีแท็บเล็ตหรือสมาร์ตโฟน เด็กจำนวน 85% ใช้โซเชียลมีเดียเป็นประจำทุกวันหรือเกือบทุกวัน และเด็ก 75% เล่นเกมทางอินเทอร์เน็ต
ผลการสำรวจสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงทางอินเทอร์เน็ตอื่น ๆ ได้แก่ 54% ดูสื่อลามก ขณะที่ 36% เคยจีบกันทางออนไลน์
นอกจากนี้ 26% เคยเปิดวิดีโอคอลทางเพศ พร้อมกับ 26% ถูกรังแกทางออนไลน์ ยังมี 12% ถูกล่อลวงทางออนไลน์ (กรูมมิ่ง) และ 11% ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ขณะเดียวกัน เยาวชนไทย 11% เคยเข้าเว็บไซต์ที่ผิดกฎหมายหรือเป็นอันตราย และ 7% เล่นการพนันออนไลน์
“การสอดส่องดูแลและสร้างความตระหนักรู้ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้กับเด็ก ๆ ถือเป็นความรับผิดชอบอย่างสูงของผู้ปกครอง เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมทางดิจิทัลที่ดีของบุตรหลานและดูแลเด็ก ๆ ให้ปลอดภัยจากภัยคุกคามออนไลน์” แคสเปอร์สกี้สรุป พร้อมกับแนะนำเคล็ดลับเพื่อสร้างความสงบสุขในครอบครัว ช่วยให้เด็กลดการพึ่งพาหน้าจอสมาร์ทโฟนเพื่อความบันเทิงและลดความเสี่ยงออนไลน์
วิธีแรกคือกำหนดขีดจำกัด หรือสร้างกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับการใช้เวลาอยู่หน้าจอและปฏิบัติตามกฎเหล่านั้น เช่น จำกัดเวลาไว้สองถึงสามชั่วโมงต่อวัน
2. ส่งเสริมกิจกรรมทางเลือก ควรแนะนำให้เด็ก ๆ รู้จักกับกิจกรรมออฟไลน์อื่น ๆ มากมายที่สามารถสร้างความสนุกสนานเพลิดเพลินได้ ส่งเสริมงานอดิเรก เช่น อ่านหนังสือ วาดรูป เล่นเครื่องดนตรี หรือทำกิจกรรมออกกำลังกาย เช่น กีฬาหรือเกมกลางแจ้ง 3. ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ควรแสดงให้บุตรหลานเห็นว่า ผู้ปกครองก็ยินดีที่จะแยกตัวออกจากหน้าจอเช่นกัน สร้างเวลาคุณภาพร่วมกันในครอบครัวโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใดๆ เช่น เล่นเกม หรือไปเที่ยวสวนสาธารณะ
4. สร้างโซนปลอดเทคโนโลยี ควรกำหนดให้บางพื้นที่ในบ้าน เช่น ห้องนอนหรือห้องรับประทานอาหาร เป็นโซนปลอดเทคโนโลยี ซึ่งจะช่วยสร้างขอบเขตที่ดีและส่งเสริมการสื่อสารระหว่างกันในครอบครัว 5. จัดหาทางเลือกอื่นเพิ่มเติม หรือเสนอแหล่งความบันเทิงทางเลือกอื่น ๆ เช่น เกมกระดาน เกมปริศนา อุปกรณ์ศิลปะและงานฝีมือ หรือหนังสือที่สอดคล้องกับความสนใจของบุตรหลานของคุณ
6. มีส่วนร่วมในกิจกรรมร่วมกัน เนื่องจากการเข้าร่วมกิจกรรมที่ลูกชื่นชอบจะช่วยกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัว และเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ได้สัมผัสกับความสุขที่ไม่ใช่ดิจิทัล และ 7. ส่งเสริมการเล่นกลางแจ้ง หรือส่งเสริมให้บุตรหลานใช้เวลานอกบ้าน เช่น ขี่จักรยาน เล่นในสวนสาธารณะ หรือร่วมทีมแข่งขันกีฬา
“ทั้งนี้โปรดจำไว้ว่า สิ่งสำคัญคือการสื่อสารกับบุตรหลานถึงเหตุผลในการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เหล่านี้ และให้เด็กๆ ได้มีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ ผู้ปกครองควรอดทนและให้กำลังใจเด็กๆ ในการเปลี่ยนแปลง” แคสเปอร์สกี้สรุป.