เมื่อวันที่ 13 มกราคม สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ผู้พัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เผยข้อมูลใหม่เบื้องต้นที่ได้จากการทดลองวัคซีนโควิด-19 หรือ Vaxzevria ของแอสตร้าเซนเนก้า เป็นเข็มกระตุ้น หรือเข็มที่ 3 นั้น พบว่าส่งผลให้ระดับแอนติบอดีหรือสารภูมิต้านทานในร่างกายเพิ่มสูงขึ้นในการยับยั้งเชื้อกลายพันธุ์โอมิครอน และเชื้อกลายพันธุ์อื่นๆ ที่รวมถึงสายพันธุ์เบต้า, เดลต้า, อัลฟา และ แกมมา
การตอบสนองก่อภูมิต้านทานโรคเพิ่มขึ้นพบในกลุ่มผู้ที่ฉีดวัคซีน Vaxzevria หรือวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเออย่างใดอย่างหนึ่งมาแล้ว โดยทางแอสตร้าเซนเนก้าระบุด้วยว่าจะยื่นข้อมูลนี้ให้กับหน่วยงานกำกับดูแลกฎระเบียบทั่วโลกพิจารณาเนื่องจากมีความจำเป็นเร่งด่วนสำหรับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น
บริษัทแอสตร้าเซนเนก้าได้พัฒนาวัคซีนชนิดนี้ร่วมกับคณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดของอังกฤษ และผลการศึกษาในห้องปฏิบัติการเมื่อเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมาพบว่า วัคซีน Vaxzevria คอร์ส 3 เข็ม มีประสิทธิภาพในการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของเชื้อกลายพันธุ์ใหม่
นับเป็นการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นนี้ของทางแอสตร้าเซนเนก้าเป็นครั้งแรก ซึ่งบริษัทผู้ผลิตวัคซีนโควิด-19 แห่งนี้ระบุเพิ่มเติมว่า ข้อมูลนี้จะเป็นหลักฐานเพิ่มเติมในการสนับสนุนการฉีดวัคซีน Vaxzevria เข็ม 3
“ผลการศึกษาที่สำคัญนี้แสดงให้เห็นว่าวัคซีน Vaxzevria เข็ม 3 หลังจากการฉีดวัคซีน 2 เข็มแรกในวัคซีนชนิดเดียวกันนี้ หรือหลังจากการฉีดวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ หรือ วัคซีนเชื้อตาย ได้ก่อภูมิป้องกันต่อโรคโควิด-19 เพิ่มขึ้นอย่างมาก” นายแอนดรูว์ พอลลาร์ด ประธานของอ็อกซ์ฟอร์ด วัคซีน กรุ๊ป กล่าว
อย่างไรก็ดีในผลการศึกษานี้ของแอสตร้าเซนเนก้ายังให้ข้อสรุปด้วยว่า วัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอของทั้งบริษัทไฟเซอร์และของโมเดอร์นานั้นก่อให้เกิดแอนติบอดีเพิ่มขึ้นมากที่สุดเมื่อฉีดเข็มกระตุ้น
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก
Line @Matichon ได้ที่นี่