โลจิสติกส์ศรีปทุม จับมือ 9 องค์กรสร้างเครือข่ายยั่งยืน
ผศ.ดร.ธรินี มณีศรี คณบดีวิทยาลัยโลจิสติกส์และซัพพลายเชน ม.ศรีปทุม เปิดเผยถึงความร่วมมือวิชาการเพื่อพัฒนาบุคลากรด้านโลจิสติกส์พันธุ์ใหม่กับองค์กรด้านการขนส่ง 9 แห่ง ประกอบด้วย กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กรมการขนส่งทางบก สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (TNSC) สหพันธ์การขนส่งทางรถบรรทุกแห่งอาเซียน (ATF) สหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย (LTFT) สมาพันธ์โลจิสติกส์ไทย (Thai LOG) สมาคมผู้รับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (TIFFA) สมาคมบริหารงานจัดซื้อและซัพพลายเชนแห่งประเทศไทย(PSCMT) และสถาบันรหัสสากล (GS1) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยความร่วมมือนี้ไม่เพียงแค่การจัดทำหลักสูตรใหม่ เพื่อให้นักศึกษามีความรู้ ทักษะ ที่จะนำใช้ได้จริงในอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนไปเพื่อเป็นบุคลากรโลจิส ติกส์พันธุ์ใหม่ ตอบโจทย์อุตสาหกรรมโลจิสติกส์เท่านั้น แต่ยังมีหลักสูตรสำหรับบุคลากรภาคอุตสาหกรรม เป็นหลักสูตรระยะสั้นแบบเรียนรู้ตลอดชีวิต (Life Long Learning) เพื่อให้เท่าทันกับความเปลี่ยนแปลง เนื่องจากปัจจุบันอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และซัพพลายเชนส์ ได้รับการท้าทายจากเทคโนโลยีดิจิทัล (Disruption) จึงจำเป็นต้องมีการเรียนรู้เพื่อเพิ่มทักษะในการทำงาน
ผศ.ดร.ธรินี กล่าวต่อไปว่า อุตสาหกรรมโลจิสติกส์และซัพพลายเชน มีมิติการเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น การนำเครื่องจักรมาใช้งานแทนมนุษย์ภายในคลังสินค้า หรือการนำเทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับ (Drone) มีการผสมผสานกับระบบคราวน์ มาใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล และประมวลผลแบบออนไลน์ เรียลไทม์ (Real-time) รวมทั้งการตอบสนองต่อความต้องการแบบวันต่อวัน ให้ตรงตามความต้องการของลูกค้า ดังนั้นภาคอุตสาหกรรมต้องมีการปรับตัวให้สามารถมองเห็นภาพได้แบบเรียล ไทม์ สามารถเชื่อมโยงกระบวนการทำธุรกิจทั้งหมดให้เกิดความคล่องตัวมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าความร่วมมือครั้งนี้ นอกจากนักศึกษาศรีปทุมจะได้ประโยชน์แล้ว สมาชิกของสภาผู้ส่งออกกว่า 3,000 บริษัท หรือสมาชิกของสภาอุตสาหกรรมกว่า 7,000 บริษัท ก็จะได้ประโยชน์ด้วยเช่นกัน
“ช่วง1-2 ปีนี้ อุตสาหกรรมโลจิสติกส์และซัพพลายเชน ประสบภาวะวิกฤติหนักจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากเทคโนโลยีดิจิทัล ส่งผลกระทบต่อมูลค่าของผลิตภัณฑ์และบริการที่มีอยู่ในอุตสาหกรรมเดิม ดังนั้น ม.ศรีปทุม จึงร่วมกับภาคอุตสาหกรรมเพื่อขับเคลื่อนเรื่องโลจิสติกส์และซัพพลายเชนไปพร้อมกันแบบยั่งยืน”คณบดี กล่าว
** อ่านต้นฉบับเต็มได้ที่ หนังสือพิมพ์สยามรัฐ