ครบเวลา 1 เดือนพอดี ในการหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2565 ตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ ในปมดำรงตำแหน่ง 8 ปี ที่ศาลจะมีคำวินิจฉัยในวันที่ 30 กันยายนนี้ ซึ่งในห้วงเวลานี้มี “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่ผู้นำประเทศเป็นการชั่วคราว
สำหรับ 1 เดือนในสถานที่ทำงานของผู้นำประเทศอย่าง “ทำเนียบรัฐบาล” ในวันที่ไร้ พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้บรรยากาศเงียบเหงาไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังมีความเปลี่ยนแปลงต่างๆ เกิดขึ้น โดย พล.อ.ประยุทธ์ เองยังคงทำงานในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีภารกิจลงพื้นที่เป็นระยะ และประจำการอยู่ห้องทำงานที่กระทรวงกลาโหม แม้ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็ยังคงใช้การวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ มายังห้องประชุม ครม.ทำเนียบฯ ที่มี พล.อ.ประวิตรเป็นประธานการประชุมมาแล้ว 4 สัปดาห์ ส่วนเก้าอี้ประธานการประชุม ครม.ยังคงเว้นว่างไว้ให้นายกฯ ตัวจริงเช่นเดิม
ในส่วนตึกไทยคู่ฟ้าและห้องทำงานนายกฯ ยังคงปิดเงียบ แม้ พล.อ.ประวิตรจะทำหน้าที่รักษาราชการแทนฯ แต่ได้เปิดใช้ตึกไทยคู่ฟ้าไปเพียง 1 ครั้ง เมื่อวันที่ 14 กันยายน ในการบันทึกวีดิทัศน์การกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยการพลิกโฉมการศึกษา ที่ห้องสีงาช้าง ส่วนการประชุมอื่นๆ พล.อ.ประวิตรจะใช้สถานที่ประชุมที่มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัดเป็นหลัก และใช้ที่ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบฯ เมื่อมีหมายบุคคลต่างๆเข้าพบ
ทำให้ทำเนียบฯ ดูเงียบเหงาไปจากเดิมที่ พล.อ.ประยุทธ์ มักจะเรียกประชุมหรือมีคนเข้าพบบนตึกไทยคู่ฟ้าแบบบันไดไม่เคยแห้ง รวมถึงตึกภักดีบดินทร์ ที่ พล.อ.ประยุทธ์จะใช้เป็นที่ประชุมต่างๆ ขณะนี้ก็ปิดเงียบเช่นกัน จะเปิดใช้เพียงบางครั้งในภารกิจของรองนายกฯ คนอื่นๆ ขณะที่รัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ช่วงนี้อาจเข้าทำเนียบฯน้อยลง หากต้องเข้าร่วมการประชุมที่ พล.อ.ประวิตรนั่งหัวโต๊ะ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะใช้มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อฯ หรือวิดีโอคอนเฟอเรนซ์
ขณะที่ในส่วนของโพเดียมแถลงข่าวนายกรัฐมนตรียังถูกเก็บไว้ไม่ได้นำออกมาใช้งานแต่อย่างใด โดย พล.อ.ประวิตร ในฐานะรักษาราชการแทนนายกฯ หากสัมภาษณ์จะใช้เพียงไมค์ปกติเหมือนเช่นเดิมที่เคยใช้ก่อนหน้านี้ ไม่ได้มีการเพิ่มเติมใดๆ ส่วนรถยนต์ประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรถในขบวนทั้งหมด ยังคงจอดนิ่งอยู่ในโรงจอดรถข้างตึกบัญชาการ 2 ตั้งแต่วันที่ 2 กันยายนที่ผ่านมา ที่ทีมงาน พล.อ.ประยุทธ์นำมาส่งคืนทำเนียบฯ
ขณะเดียวกัน ในการทำงานของทีมเจ้าหน้าที่ทำเนียบฯ ที่ต้องทำข่าวและติดตามภารกิจนายกฯ จากเดิมที่ต้องลงพื้นที่ประสานจัดเตรียมทุกภารกิจ แต่ในช่วงที่ พล.อ.ประวิตร รักษาราชการแทนนายกฯ จะไม่ได้ใช้ทีมงานทำเนียบฯ ในการจัดแจงทุกอย่างแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่จะใช้ทีมงานรองนายกฯ จัดคิวและดูแลเรื่องต่างๆ ทั้งหมด โดยจะมีการประสานการทำงานร่วมกัน เช่น การประสานงานสื่อมวลชน การจัดคิวสื่อมวลชนขึ้นเครื่องบินไปภารกิจ พล.อ.ประวิตร เหมือนกับช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ปฏิบัติหน้าที่นายกฯ เป็นต้น
นอกจากนี้ ในการจัดตารางงานต่างๆ ของรักษาราชการแทนนายกฯ ที่ตอนนี้ฟิตลงพื้นที่ทุกสัปดาห์ต่อเนื่องมาแล้ว 4 ครั้ง ทั้งจังหวัดฉะเชิงเทรา ตาก กระบี่ นราธิวาส และครั้งที่ 5 ในวันที่ 25 กันยายนนี้ ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ จะใช้ทีมงานของรองนายกรัฐมนตรีเป็นทีมหลักในการดูแลจัดการด้านต่างๆ และมีทีมงานทำเนียบฯ ช่วยดำเนินงานร่วมกันด้วย
และสำหรับในด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร ในเวลา 1 เดือน จนถึงปัจจุบัน ยังสามารถเดินไปได้อย่างราบรื่น ไม่มีเรื่องใดให้ต้องสะดุด ยังคงทำหน้าที่ทั้งรองนายกรัฐมนตรีและรักษาราชการแทนนายกฯ ที่งานอาจเพิ่มขึ้น ทั้งการลงพื้นที่ติดตามการดำเนินโครงการต่างๆ ของรัฐบาล รับฟังปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้าน การแก้ไขปัญหาสถานการณ์น้ำ การพิจารณาอนุมัติงบต่างๆ ในการประชุม ครม.
รวมถึงอาจเจอประเด็นร้อนทางการเมืองต่างๆ เช่น ปัญหาความขัดแย้งระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล อย่างพรรคภูมิใจไทย (ภท.) และพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง และร่าง พ.ร.บ.กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ที่ในฐานะผู้นำรัฐบาลในตอนนี้ พล.อ.ประวิตรต้องช่วยดูแลความสัมพันธ์พรรคร่วมฯ ด้วย ซึ่ง พล.อ.ประวิตรก็ยืนยันว่า “ทุกคนยังทำงานด้วยกันเรียบร้อยดี ไม่มีอะไร”
ส่วนหลังจากนี้ก็ถึงเวลานับถอยหลังอีกเพียง 1 สัปดาห์ จะถึงวันลุ้นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย พล.อ.ประยุทธ์ ในวาระดำรงตำแหน่ง 8 ปี ที่ต้องจับตา ชะตาของ “บิ๊กตู่” จะได้ไปต่อหรือไม่ ในแนวทางใด.