เมื่อวันที่ 3 ก.ค. ที่อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ ได้จัดพิธีลงนาม MOU ในโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น โดย 6 หน่วยงาน ประกอบด้วย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม(อว.) กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เพื่อสนับสนุนทุนสร้างโอกาสทางการศึกษา สำหรับนักเรียนยากจนด้อยโอกาสจากครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำที่สุดร้อยละ 20 แรกของประเทศในพื้นที่ห่างไกลที่อยากเป็นครูได้เรียนครูจนจบปริญญาตรีและกลับมาเป็นครูในโรงเรียนท้องถิ่นของตน ทั้งนี้เมื่อศึกษาจนจบตามหลักสูตร จะได้รับการบรรจุเป็นครูในโรงเรียนพื้นที่ห่างไกลได้ทั้งหมด
นพ.สุภกร บัวสาย ผู้จัดการ กสศ. กล่าวว่า การลงนามข้อตกลงในครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างหลายหน่วยงาน เพื่อสนับสนุนโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น เป็นโครงการที่มีความต่อเนื่องตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ช่วยสร้างโอกาสให้นักเรียนยากจนด้อยโอกาสที่มีผลการเรียนอยู่ในเกณฑ์ดีและมีจิตวิญญาณความเป็นครู ได้เรียนครูจนจบปริญญาตรีอย่างมีคุณภาพ มีทักษะความพร้อมสำหรับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 และได้รับการบรรจุเป็นครูรุ่นใหม่ในโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกล โดยจะสนับสนุนทุนให้แก่นักศึกษา รุ่นละ 300 ทุนทั้งหมด 5 รุ่น รวม 1,500 ทุน เฉลี่ยทุนละ 160,000 บาท/ทุน/ปี ประกอบด้วย ค่าธรรมเนียมการศึกษา ค่าที่พัก ค่าครองชีพรายวัน ค่าตำราและอุปกรณ์การเรียนที่จำเป็น ตั้งแต่ปีการศึกษา 2563 เป็นต้นไป
“โครงการนี้จะดำเนินงานผ่านสถาบันอุดมศึกษาที่เปิดสอนหลักสูตรปริญญาตรี ในสาขาปฐมวัยและประถมศึกษา ทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งจะมีการคัดเลือกสถาบันเข้าร่วมโครงการราว 10 สถาบัน ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดยสถาบันสนใจที่สามารถยื่นข้อเสนอโครงการตลอดเดือนกรกฎาคมนี้ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ หมายเลขโทรศัพท์ 02-079-5475 กด 6 ในวันและเวลาราชการ” นพ.สุภกร กล่าว
นายสุทิน แก้วพนา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ในส่วนของสำนักปลัดกระทรวงศึกษาธิการ รับผิดชอบเกี่ยวกับการขับเคลื่อนนโยบายการศึกษาในภาพรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขับเคลื่อนการศึกษาในส่วนภูมิภาค ซึ่งเรามีศึกษาธิการจังหวัด ศึกษาธิการภาคในพื้นที่ การเพิ่มโอกาสให้กับนักเรียนด้อยโอกาสในพื้นที่ห่างไกล ให้ได้รับโอกาสโดยเฉพาะการมีอาชีพ มีการศึกษา มีงานทำ ถือว่าเป็นส่วนสำคัญ โดยเฉพาะโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งการคัดเลือกเด็กในพื้นที่ห่างไกลทุรกันดารและขาดโอกาส แต่มีอุดมการณ์ที่จะเป็นครูมาทำหน้าที่ครู ซึ่งเป็นกระบวนการผลิต คัดเลือกที่มีคุณภาพ ร่วมถึงการเสริมสร้างจิตวิญญาณของความเป็นครูกลุ่มนี้จะกลับไปพัฒนาท้องถิ่นของตัวเอง ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาสำหรับพื้นที่ห่างไกลกันดารที่ขาดครู รวมถึงการพัฒนาคุณภาพการศึกษา
“จะมีการสนับสนุนส่งเสริมการคัดเลือกเด็ก ประสานงานกับกระทรวงอุดมศึกษาฯ ในการผลิตและพัฒนาครูให้มีคุณภาพ รวมถึงการคัดเลือกสถานศึกษากลุ่มเป้าหมายในการบรรจุและแต่งตั้งครู สรรหาครูตามโครงการ เพื่อให้สามารถบรรจุตามเป้าหมาย ตรงนี้จะเป็นการเชื่อมงานกับ สพฐ. ในการขับเคลื่อนเสริมนโยบายกับ กสศ. เกี่ยวกับหลักเกณฑ์การบรรจุ และเชื่อมโยงกับสถาบันผลิตและพัฒนาครู จะเป็นการเชื่อมโยงบูรณาการต่อเนื่องอย่างยั่งยืน” นายสุทิน กล่าว
นายสนิท แย้มเกษร รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) กล่าวว่า สพฐ.เป็นหน่วยงานสำคัญที่กำกับดูแลโรงเรียนปลายทาง ซึ่งเป็นโรงเรียนในพื้นที่เป้าหมายในการบรรจุครูเพื่อไปทำงานในพื้นที่ดังกล่าวจากโครงการนี้ โดยพบว่าโรงเรียน 2,000 แห่ง จาก 30,000 แห่ง ไม่สามารถยุบควบรวมได้ แต่ยังมีปัญหาเรื่องการขาดครู และย้ายออก ดังนั้นโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น ที่ร่วมทำกับ กสศ.จะทำให้การขาดครูลดน้อยลง และทำให้เด็กได้ศึกษาเล่าเรียนตามที่ควรจะเป็น โดยโรงเรียนเหล่านี้เป้าหมายอยู่ในพื้นที่สูง ชายขอบ บนเกาะ และโรงเรียนมักไม่มีครูท้องถิ่นสอนอยู่
“เมื่อมีโครงการนี้เชื่อว่าคนที่อยู่ในท้องถิ่นแล้วได้เป็นครูคงไม่ย้ายออก ปัจจุบันครูสอนในระดับประถมศึกษายังขาดแคลน ตอนนี้ขาดอยู่เกือบ 4,000 คน โดยผู้จบทางประถมศึกษามีประมาณ 8,000 พันคน จากผู้จบทั้งหมด 2.5 แสนคน ทั้งนี้จำนวนครูที่มีการโยกย้ายในปี 2562 มีครูในสังกัด สพฐ. เช่น จ.เชียงใหม่ มีการโยกย้าย 179 อัตรา, จ.เชียงราย โยกย้าย 80 อัตรา, จ.ชัยภูมิ 159 อัตรา, จ.กาญจนบุรี 102 อัตรา และ จ.สตูล 47 อัตรา หากโครงการนี้ช่วยให้ครูไปบรรจุในพื้นที่จะแก้ปัญหาการศึกษาที่ไม่ได้รับความเสมอภาคลดน้อยลงไป ในระยะ 4-5 ปี ปัญหาน่าจะทุเลาลงทำให้เด็กได้รับโอกาสและการจัดสรรที่เท่าเทียมกัน” นายสนิท กล่าว
รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า ทาง อว.สนับสนุนโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น โดยมีเหตุผล 3 เรื่องคือ 1.การสร้างคนที่มีความพร้อมรองรับในศตวรรษที่ 21 อย่างโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น ถือเป็นโครงการผลิตคนให้เก่ง 2.นำนวัตกรรม องค์ความรู้ ไปพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะการระดมสมองช่วยกันเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และให้โอกาสผู้อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ถือเป็นยุทธศาสตร์ใหญ่ โครงการนี้จะไปสนับสนุนยุทธศาสตร์ของ อว. 3.ครูคือหัวใจสำคัญของการศึกษา เพราะแม้แต่ในวงการสุขภาพแพทย์มีความสำคัญที่สุด ดังนั้นในวงการศึกษาครูถือว่ามีความสำคัญที่สุดเช่นกัน เพราะฉะนั้นถ้าไม่สนับสนุนครูผลิตครูที่เก่งขึ้นมาวงการศึกษาก็ไม่สามารถเดินต่อไปไม่ได้ จึงคิดว่าโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น มีความสอดคล้องกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำ ผลิตครูในท้องถิ่น โดยหลังจากนี้จะชักชวนสถาบันการศึกษาผลิตครูเข้าร่วมโครงการต่อไป แนวคิดโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น ที่ทำมาเห็นว่าครบวงจรทั้งหมด ซึ่งจะเป็นแม่แบบในการพัฒนาส่วนอื่นๆ ต่อไป
นางสาวอุษณีย์ ธโนศวรรย์ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) กล่าวว่า โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น เป็นโครงการที่สำคัญตอบโจทย์สำคัญของประเทศ ถือเป็นการรวบรวมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตลอดแนว ทั้งหน่วยที่ต้องเผชิญเหตุในพื้นที่ หน่วยงานที่ทำงานผลิตครูเข้ามา แล้วส่งมอบต่อยอดการบรรจุแต่งตั้ง สรรหา ในการให้บุคลากรเหล่านี้เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ โครงการนี้ถือว่ามีความสำคัญ สมควรได้รับการสนับสนุนอย่างยิ่ง เพราะทุกคนมีความฝัน
“โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น จะตอบโจทย์ให้ทุกคนที่มีความฝัน มีอุดมการณ์ความเป็นครู ซึ่งชีวิตของการเป็นครูไม่ใช่เส้นทางที่ง่าย แต่ต้องมีความมุ่งมั่นในการทำงานยากลำบากในพื้นที่ห่างไกล อุดมการณ์นี้จะตอบโจทย์ให้ได้บุคคลเหล่านี้เข้ามาในโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น ถือเป็นสิ่งสำคัญมากและถือว่ามาตรงจุดแล้ว เชื่อว่าโครงการนี้จะช่วยปัญหาต่างๆ ของประเทศชาติจะได้แก้ไขปัญหาต่างๆ ที่มี เข้าใจว่าโครงการนี้ยังช่วยพัฒนาตัวบุคคลนั้นๆ ขณะเดียวกันยังพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศชาติด้วยเช่นกัน” นางสาวอุษณีย์ กล่าว
นางวัฒนาพร ระงับทุกข์ รองเลขาธิการสภาการศึกษา ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งเลขาธิการคุรุสภา กล่าวว่า โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น เป็นการให้โอกาสนักเรียนในพื้นที่ห่างไกลและได้รับโอกาสเป็นครู โดยทางคุรุสภามีหน้าที่สำคัญในการดูแลเรื่องมาตรฐานวิชาชีพครูและการผลิตครู เพื่อให้มีความมั่นใจว่าบุคลากรเหล่านี้มีคุณภาพอย่างแท้จริง คุรุสภาจะมีบทบาทสำคัญจะเข้าไปเชื่อมโยงกระบวนการผลิต พัฒนา คัดกรองวิชาชีพครู โดยมีตัวมาตรฐานวิชาชีพครูเป็นตัวกำกับดูแลเรื่องคุณภาพ คุรุสภาจะมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องรับรองเรื่องปริญญาการศึกษา ดูแลเรื่องหลักสูตรครู มาตรฐานการผลิตและบัณฑิตที่มีความรู้คุณภาพ และกระบวนการต่างๆ
นางวัฒนาพร กล่าวอีกว่า บัณฑิตที่จบออกมามีคุณภาพแล้ว คุรุสภาจะต้องนำไปเข้ารับการทดสอบเพื่อขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู เพื่อทำให้มั่นใจว่าครูทุกคน โดยเฉพาะครูในโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น ต้องมีประสิทธิภาพ มีสมรรถนะ มีจิตวิญญาณของการเป็นครู ในการเข้าไปเป็นครูในพื้นที่ห่างไกลเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ จึงคิดว่าทั้ง 6 หน่วยที่เข้ามาร่วมมือกันผลักดันให้โครงการนี้ได้ครูที่มีคุณภาพ จะเป็นครูต้นแบบในการผลิตและพัฒนาครู และเป็นแนวทางในการศึกษาวิจัยเพื่อให้ได้ครูที่มีคุณภาพในอนาคต
** อ่านต้นฉบับเต็มได้ที่ หนังสือพิมพ์สยามรัฐ