งานถามตอบแบบอินเทอร์แอ็คทีฟและการพบปะแบบตัวต่อตัวรอบใหม่เปิดโอกาสให้นักพัฒนาได้พบเจอกับผู้เชี่ยวชาญของ Apple โดยตรง
วันนี้ Apple แนะนำ Ask Apple งานถามตอบแบบอินเทอร์แอ็คทีฟและการให้คำปรึกษาแบบตัวต่อตัวรอบใหม่ที่จะเปิดโอกาสมากมายให้นักพัฒนาได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญของ Apple โดยตรง ทั้งด้านความรู้เชิงลึก บริการช่วยเหลือ และการให้ข้อคิดเห็น
นักพัฒนาที่เข้าร่วมงาน Ask Apple สามารถสอบถามปัญหาได้ในหลายๆ ด้าน เช่น การทดสอบบนระบบล่าสุด, การใช้เฟรมเวิร์กที่ปรับปรุงใหม่จากงานประชุมสำหรับนักพัฒนาจากทั่วโลก (WWDC), การใช้คุณสมบัติใหม่ๆ เช่น Dynamic Island, การย้ายมาใช้ Swift, SwiftUI และการช่วยการเข้าถึง ตลอดจนการจัดเตรียมแอปให้พร้อมใช้งานกับ OS และฮาร์ดแวร์ที่เปิดตัวใหม่ โดย Ask Apple เป็นบริการฟรีและเปิดให้สมาชิก Apple Developer Program และ Apple Developer Enterprise Program ทุกคนสามารถลงทะเบียนได้
การจัดงานรอบนี้จะเปิดโอกาสให้นักพัฒนาได้สอบถามทีมงาน Apple ในหลากหลายด้านผ่านการถามตอบทาง Slack และ Office Hours แบบตัวต่อตัว ซึ่งนักพัฒนาสามารถใช้ช่วงถามตอบในการสานสัมพันธ์กับกูรู วิศวกร และนักออกแบบของ Apple ให้ช่วยตอบคำถามคาใจ แชร์สิ่งที่ได้เรียนรู้ และมีส่วนร่วมกับนักพัฒนาคนอื่นๆ จากทั่วโลก ส่วน Office Hours นั้นจะเน้นไปที่การสร้างและเผยแพร่แอปที่น่าสนใจซึ่งใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและดีไซน์ใหม่ล่าสุด โดยนักพัฒนาสามารถขอความช่วยเหลือในระดับโค้ด ขอแนวทางการออกแบบ ขอไอเดียในการใช้เทคโนโลยีและเฟรมเวิร์ก ขอคำปรึกษาเพื่อแก้ไขปัญหา หรือขอความช่วยเหลือในเรื่องแนวทางการตรวจสอบแอปและเครื่องมือการเผยแพร่ ซึ่งจะมีการจัด Office Hours ตามเขตเวลาทั่วโลกในหลายภาษา
“เรารับฟังความคิดเห็นจากนักพัฒนาทั่วโลกมาโดยตลอดว่าสิ่งใดมีประโยชน์มากที่สุดต่อนักพัฒนาในการสร้างสรรค์แอปสุดล้ำ ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีความต้องการบริการช่วยเหลือและพูดคุยแบบตัวต่อตัวกับผู้เชี่ยวชาญของ Apple เพิ่มขึ้นอย่างมาก” Susan Prescott รองประธานฝ่าย Worldwide Deverloper Relations และ Enterprise and Education Marketing กล่าว “ทีมงานของเรามุ่งมั่นเดินหน้ายกระดับบริการช่วยเหลือให้แก่ชุมชนนักพัฒนาที่มีความหลากหลายทั่วโลก และเรายินดีอย่างยิ่งที่ได้เปิดบริการ Ask Apple เป็นอีกหนึ่งแหล่งใหม่”
Ask Apple ต่อยอดมาจากโปรแกรมที่ประสบความสำเร็จอย่าง Tech Talks และ Meet with App Store Experts ซึ่งมีการจัดพรีเซนเทชันสดมากกว่า 200 ครั้ง และมี Office Hours เป็นพันชั่วโมงให้แก่นักพัฒนาตลอดช่วงปีที่ผ่านมา
Jordi Bruin นักพัฒนา iOS จากอัมสเตอร์ดัม ส่งแอปขึ้น App Store มาแล้วมากกว่า 20 แอป และเคยเข้าร่วมเซสชั่นและห้องปฏิบัติการสำหรับนักพัฒนาของ Apple มามากกว่า 50 ครั้ง ซึ่งรวมถึง Tech Talks และที่จัดขึ้นระหว่างงาน WWDC ประจำปีของ Apple ด้วย โดย Posture Pal ที่เป็นหนึ่งในแอปล่าสุดของเขามีเป้าหมายที่จะช่วยปรับปรุงแก้ไขท่าทางของผู้ใช้โดยอาศัยเซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวใน AirPods ขณะที่เขาหวนคิดถึงการปรึกษาพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญของ Apple ที่ช่วยแนะนำเรื่องกระบวนการสร้างและปรับแต่งแอป
“ช่วงต้นๆ ที่พัฒนา Posture Pal ผมได้เข้าร่วม Tech Talk ที่เน้นเรื่องเซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวใน AirPods จนได้พูดคุยกับกูรูด้านเทคโนโลยีที่ไม่เพียงแค่ช่วยให้ผมเข้าใจพารามิเตอร์ต่างๆ และมองเห็นโอกาสในการใช้เทคโนโลยี แต่ยังช่วยระดมความคิดเกี่ยวกับคุณสมบัติที่ล้ำหน้ายิ่งขึ้นและโอกาสการใช้งานที่ผมนึกไม่ถึงมาก่อน” Bruin กล่าว “นักออกแบบที่ Apple ยังช่วยสรุปขั้นตอนการใช้ Posture Pal ทั้งหมด และชี้ให้เห็นจุดที่ควรปรับปรุง ซึ่งคำแนะนำดังกล่าวช่วยให้ผมกำจัดข้อมูลที่ซ้ำซ้อนออกไปและปรับการออกแบบหน้าจอหลักในแอปให้เรียบง่าย การได้ฟังความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบ UX ยังทำให้ผมได้แนวทางการออกแบบสำหรับโปรเจ็กต์ต่างๆ โดยรวม”
Ondine Bullot เป็น CEO ของ Better Kids และผู้ก่อตั้งแอปด้านการศึกษาที่ชื่อว่า Wisdom: The World of Emotions ซึ่งสอนทักษะทางสังคมและทางอารมณ์แก่เด็กๆ อาทิ การจัดการความรู้สึกและแก้ไขความขัดแย้งผ่านเกมและเทคโนโลยีความจริงเสริม (AR) ซึ่ง Bullot และทีมงานของเธอจากทั่วโลกเคยเข้าร่วมงานเชื่อมสัมพันธ์มาแล้วหลายครั้ง ทั้งการพูดคุยใน Tech Talks, Meeting with App Store Experts และห้องรับรองดิจิทัลในงาน WWDC
“ฉันจำภาพการเข้าร่วม Office Hours แบบตัวต่อตัวได้ชัดเจน เพราะเป็นหนึ่งในเซสชั่นสุดสร้างสรรค์ในเรื่องการจินตนาการถึงคุณสมบัติและการใช้งานใหม่ๆ ให้แอปของเรา ไอเดียหนึ่งที่ผุดขึ้นมาซึ่งเรากำลังจัดการกับเรื่องนี้อยู่ก็คือ การใส่ Siri ไว้ในแอปเพื่อที่เด็กๆ จะได้พูดว่า ‘หวัดดี Siri ฉันอยากได้ตัวช่วยสำหรับจัดการกับอารมณ์’ ซึ่งจะเป็นการเรียก Wisdom ที่เป็นตัวละครหลักในแอปของเราขึ้นมา เพื่อช่วยแนะนำวิธีสงบสติอารมณ์รูปแบบต่างๆ แก่เด็กๆ” Bullot กล่าว “แอปของเรามีคอนเทนต์จำนวนมากเกินไป ทั้งเกมอินเทอร์แอ็คทีฟ, AR, การทำสมาธิตามขั้นตอนแนะนำ, กิจกรรมฝึกฝนตนเอง, สิ่งพิมพ์รูปแบบต่างๆ, เคล็ดลับสำหรับผู้ปกครอง รวมถึงแหล่งข้อมูลเพื่อการสอน ซึ่งก็ต้องขอบคุณคำติชมจากผู้เชี่ยวชาญของ Apple จนเมื่อไม่นานมานี้เราจึงออกแบบเครื่องมือนำทางในแอปใหม่เพื่อสร้างเส้นทางที่ต่างกันให้แก่เด็กๆ นักการศึกษา และผู้ปกครอง และทำให้เห็นภาพชัดเจนว่าแหล่งข้อมูลใดที่เกี่ยวเนื่องกับแต่ละฝ่าย เรายังออกแบบส่วนการทำสมาธิใหม่เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นและใช้งานได้ง่ายสำหรับเด็กๆ”
Ask Apple เป็นงานที่จัดขึ้นต่อเนื่องโดยจะเริ่มเปิดโอกาสรอบแรกในวันที่ 17-21 ตุลาคมนี้ สมาชิกปัจจุบันของ Apple Developer Program และ Apple Developer Enterprise Program สามารถลงทะเบียนและดูข้อมูลตารางงานได้ที่ developer.apple.com/events/ask-apple
นอกจากการจัดงาน Ask Apple แล้ว ยังมีเซสชั่นอีกหลายร้อยชั่วโมงที่สามารถเรียกดูได้ทันทีตามต้องการผ่านทางเว็บไซต์ Apple Developer และในแอป Apple Developerซึ่งทำให้นักพัฒนาได้รับทราบถึงเทคโนโลยีล่าสุดและข่าวสารที่สำคัญโดยตรงจาก Apple ได้ตลอดทั้งปีในที่เดียว ไม่ว่าจะสะดวกที่ใดหรือเมื่อใดก็ตาม นักพัฒนาจะได้เข้าถึงคลังคอนเทนต์อันมหึมาที่ทันสมัย ตอบโจทย์ และนำไปใช้ได้จริง ทั้งจากผู้เชี่ยวชาญและวิศวกรของ Apple ไม่ว่าจะเป็นข่าวสารเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง API และเฟรมเวิร์ก ไปจนถึงเรื่อง Human Interface Guidelines ของ Apple, การแจ้งข่าวสารโปรแกรม บทความเชิงเทคนิค หรือกระทั่งคลังวิดีโอด้านเทคนิคและด้านดีไซน์ อีกทั้ง Apple ยังเปิดโอกาสให้สมาชิก Apple Developer Program สามารถขอรับบริการช่วยเหลือระดับโค้ดแบบตัวต่อตัวกับวิศวกรฝ่ายบริการช่วยเหลือด้านเทคนิคที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดกับโค้ดของแอปหรือช่วยหาทางออกให้ปัญหาเพื่อเร่งสปีดการพัฒนาให้รวดเร็ว
Apple มีเครื่องมืออันล้ำสมัยหลากหลายประเภท รวมถึงบริการช่วยเหลือครบวงจรสำหรับนักพัฒนาที่ต้องการสร้าง ทดสอบ ทำการตลาด และเผยแพร่แอปของตนไปสู่อุปกรณ์ Apple ที่มีอยู่มากกว่า 1.5 พันล้านเครื่อง โดยนักพัฒนาสามารถใช้งานชุดเครื่องมือและเฟรมเวิร์กที่มีให้อย่างครบถ้วนได้ฟรี ซึ่งมีทั้ง Software Development Kit (SDK) และบริการสำหรับนักพัฒนาที่มี API มากกว่า 250,000 ตัว เพื่อสร้างแอปสำหรับ iOS, iPadOS, macOS, tvOS และ watchOS ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยนักพัฒนาในการเพิ่มฟังก์ชั่นใหม่ๆ ให้แอปของตนเองได้รวดเร็วง่ายดาย และได้ใช้ประโยชน์จากความสามารถอันทรงพลังของเทคโนโลยีการเรียนรู้ของระบบ, AR และอีกมากมาย ทั้งนี้โครงการต่างๆ ของ Apple อาทิ Developer Academy, Entrepreneur Camp, App Accelerator และทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนจาก WWDC ตลอดจนเครื่องมือที่เปิดกว้างให้เข้าถึงได้ทั้ง “ใครๆ ก็เขียนโค้ดได้” และ Swift Playgrounds ทั้งหมดทำให้มั่นใจได้ว่าพลังแห่งเทคโนโลยีการเขียนโค้ดจะต้องเข้าถึงได้และเปิดกว้างอย่างแท้จริง
App Store ซึ่งเปิดตัวเมื่อปี 2008 เป็นตลาดสำหรับแอปที่ปลอดภัยและคึกคักที่สุดในโลก เป็นแหล่งรวมของแอปมากถึง 1.8 ล้านแอป ซึ่งมีผู้คนมากกว่า 500 ล้านคนจากพื้นที่ต่างๆ 175 แห่งเข้าเยี่ยมชมในแต่ละสัปดาห์ ที่นี่ช่วยให้นักสร้างสรรค์ นักฝัน และผู้ใฝ่รู้ทุกวัยและทุกพื้นฐานได้เชื่อมโยงกับเครื่องมือและข้อมูลที่ทุกคนต้องการ เพื่อสร้างอนาคตที่สดใสกว่าและโลกที่ดียิ่งกว่าเดิม ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการพัฒนาแอปสำหรับ App Store ได้ที่ apple.com/app-store/developing-for-the-app-store