เปิดสถิติ 60 ปีย้อนหลัง วิเคราะห์พบ 11 จังหวัดลุ่มน้ำโขง ชี มูล แนวโน้มน้ำท่วม-แล้งรุนแรงในอนาคต ระบุอาชีพชลศาสตร์เมืองไทยยังขาดแคลน เตรียมพลิกโฉมหลักสูตรวิศวะใหม่
ศ.ดร.ชวลิต ชาลีรักษ์ตระกูล อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TSE) กล่าวว่า จากผลงานวิจัยเพื่อประเมินผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อปริมาณน้ำฝนในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ลุ่มน้ำโขง ชี และมูล) โดยพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลฝนระดับสถานีจากกรมอุตุนิยมวิทยาของไทย กับข้อมูลภูมิอากาศระดับโลกของแบบจำลองการหมุนเวียนอากาศจากประเทศอังกฤษ แคนาดา โดยแบบจำลองความสัมพันธ์นี้ สามารถใช้วิเคราะห์จังหวัดที่มีแนวโน้มจะประสบปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งซ้ำซากได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการเตรียมรับมือภัยพิบัติในอนาคต
จากงานวิจัยดังกล่าวพบข้อมูลพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซาก 6 จังหวัด ได้แก่ เลย อุดรธานี สกลนคร นครพนม ร้อยเอ็ด และอุบลราชธานี โดยแบ่งเป็นพื้นที่สีแดงเป็นพื้นที่เฝ้าระวังเกิดปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก ที่มีแนวโน้มทวีรุนแรงมากขึ้นในอนาคต ส่วนมากจะอยู่ตอนบนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คือ ลุ่มแม่น้ำโขง รองลงมาเป็นพื้นที่สีส้ม ในลุ่มแม่น้ำมูล และพื้นที่สีเหลืองที่เกือบจะไม่เปลี่ยนแปลง และพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งซ้ำซาก 5 จังหวัด ได้แก่ ขอนแก่น มุกดาหาร ชัยภูมิ นครราชสีมา สุรินทร์ ประกอบด้วยพื้นสีแดง เป็นพื้นที่เฝ้าระวังเกิดภัยแล้งรุนแรงในอนาคต ส่วนมากจะกระจุกตัวตอนล่างของภาค ในลุ่มแม่น้ำชี และบางส่วนของทางตะวันออกของภาค รองลงมาคือพื้นที่สีส้ม ในลุ่มแม่น้ำมูล และแม่น้ำโขง และพื้นที่สีเหลืองที่เกือบจะไม่มีความเปลี่ยนแปลง
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลดังกล่าวเป็นเพียงวิเคราะห์เชิงสถิติจากการบันทึกข้อมูลสภาพอากาศและปริมาณน้ำฝนย้อนหลังเท่านั้น ไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่แตกตื่น แต่การศึกษาในครั้งนี้จะมีประโยชน์สำหรับการเตรียมรับมือกับอุทกภัยและภัยแล้งที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น เพื่อป้องกันความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ โดยงานวิจัยชิ้นนี้ ยังสามารถคาดการณ์สถานการณ์น้ำฝนล่วงหน้าในอนาคตได้
ทั้งนี้ แต่ละปีไทยจะสามารถผลิตบัณฑิตด้านวิศวกรรมโยธาได้จำนวนมาก แต่กลับมีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่มุ่งสู่อาชีพด้านชลศาสตร์ กลายเป็นอาชีพที่ไทยยังขาดแคลน และยังส่งผลต่อการบริหารจัดการน้ำของประเทศ จึงเป็นหน้าที่ของสถาบันการศึกษา ที่จะต้องเร่งปั้นนักศึกษาให้เชี่ยวชาญ และสร้างแรงบันดาลใจให้อยากจบออกไปทำงานด้านการบริหารจัดการน้ำมากขึ้น ซึ่งคณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก และต้องการให้นักศึกษาวิศวกรรมโยธาทุกคนได้ตระหนักถึงความจำเป็นของการทำงานในด้านนี้เช่นเดียวกัน
ด้านรศ.ดร.ธีร เจียศิริพงษ์กุล คณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์กล่าวว่า เร็วๆ นี้ คณะจะเปิดตัวการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ครั้งแรกในรอบกว่า 30 ปี ที่จะพลิกโฉมหลักสูตรวิศวกรรมในประเทศไทยให้สอดรับความต้องการของโลกอย่างแท้จริง
** อ่านต้นฉบับเต็มได้ที่ หนังสือพิมพ์สยามรัฐ