ศธ.ส่งเอกสารหลักฐานการทุจริตกองทุนเสมาฯ ให้ ปปง. “วิทยา” คาดสัปดาห์หน้าเสนออายัดทรัพย์ ถึงปิดบัญชีก็หนีไม่พ้น “การุณ”เตรียมนำระบบไอซีทีมาใช้ป้องกัน
ตามที่กลุ่มตรวจสอบภายในสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ตรวจสอบพบว่ามีการทุจริตเงินกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต โดยการโอนเงินเข้าบัญชีบุคคลอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องตั้งแต่ปี 2551-2561 กว่า 88 ล้านบาท ซึ่งนพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ(ศธ.)ได้สั่งการให้นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เร่งดำเนินการตรวจสอบและหาคนผิดมาลงโทษโดยเร็วนั้น
เมื่อเวลา 09.30 น.ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้หารือร่วมกับ นายวิทยา นีติธรรม เลขานุการกรม สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เกี่ยวกับการตรวจสอบการทุจริตเงินกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต ซึ่งภายหลังการหารือ นายวิทยา กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยเฉพาะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชน ทางปปง.จึงได้เร่งประสานงานกับ ศธ. ซึ่งนายการุณ ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยได้รวบรวมเอกสาร หลักฐานและข้อมูลต่างๆได้ค่อนข้าง ครบถ้วน สมบูรณ์ ชัดเจน ซึ่งช่วยให้ ปปง.ทำงานได้ง่ายขึ้น และเชื่อว่าเรื่องนี้จะสามารถสรุปผลได้เร็ว เพราะไม่ใช่เรื่องที่ซับซ้อน
นายวิทยา กล่าวต่อไปว่า สำหรับเรื่องการอายัดบัญชีบุคคลที่รับโอนเงินกองทุนเสมาฯ นั้น จากหลักฐานที่ปลัด ศธ.มอบให้ค่อนข้างสมบูรณ์ โดยมีทั้งบันทึกคำรับสารภาพ ข้อมูลบันทึกรายการเคลื่อนไหวของบัญชี หรือสเตทเมนท์ และบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง ปปง.ขอไปตรวจสอบรายละเอียดก่อน เพื่อขยายผลว่ามีใครที่เกี่ยวข้องอีกหรือไม่ นอกจากข้อมูลที่ได้รับจากปลัด ศธ. ซึ่งก็คงจะใช้เวลาไม่นานจะสามารถสรุปผล และนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการธุรกรรมของ ปปง.ในสัปดาห์ที่ 3ของเดือน มี.ค.นี้ โดยคณะกรรมการธุรกรรมฯ เป็นผู้มีอำนาจในการอายัดทรัพย์สิน จะพิจารณาว่าจะมีการอายัดทรัพย์อะไรบ้าง อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เงินจะเข้าออกบัญชีค่อนข้างเร็ว และทรัพย์สินได้มีการจำหน่ายจ่ายโอนไปแล้ว แต่กฎหมายของ ปปง.ก็สามารถเข้าไปติดตามได้
“กรณีเปิดบัญชีรับโอนเงินที่เป็นการยักยอก ฉ้อโกง จะมีความผิดฐานฟอกเงินด้วย ซึ่งการทำผิดทางมูลฐานของกฎหมาย ปปง.ผู้ที่รับโอนทรัพย์ที่ได้จากการกระทำผิด นอกจากมีความผิดฐานทุจริตซึ่งเป็นคดีอาญาแล้ว ยังมีความผิดฐานฟอกเงินด้วย ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี สำหรับบัญชีที่ปิดไปแล้วก็สามารถไล่ได้ว่าเงินไปอยู่ที่ใคร และผู้ที่เกี่ยวข้องกับบัญชีนั้นจะต้องถูกตรวจสอบและรับผิดชอบด้วย”
นายวิทยา กล่าวและว่า ทั้งนี้เท่าที่ดูข้อมูลเบื้องต้นกองทุนเสมาฯ มีการวางระเบียบค่อนข้างรอบคอบ รัดกุม แต่ที่เกิดปัญหาขึ้นมาน่าจะเป็นเรื่องเฉพาะตัว ความไว้เนื้อเชื่อใจกัน จึงอาจไม่มีการตรวจสอบว่าได้มีการโอนเงินไปยังสถานศึกษาจริงหรือไม่ ส่วนการทุจริตครั้งนี้ผู้บังคับบัญชาจะต้องร่วมรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นหรือไม่ เป็นเรื่องที่ ศธ.จะต้องไปดูว่าผู้บังคับบัญชาเลินเล่อหรือไม่ หรือรู้เห็น อย่างไรก็ตาม อนาคต ปปง.และ ศธ.จะต้องร่วมกันทำงานใกล้ชิดมากขึ้น เพราะมีหลายเรื่องที่ต้องตรวจสอบเนื่องจาก ศธ.มีคนเยอะ มีงบประมาณจำนวนมาก ซึ่งจะต้องมีมาตรการป้องปรามด้วย
ด้าน นายการุณ กล่าวว่า ปปง.ให้ความร่วมมือและให้คำแนะนำในการตรวจสอบเรื่องนี้อย่างดี และขณะนี้ ศธ.ได้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงแล้ว ในเร็ว ๆ นี้จะรู้ว่าผู้รับผิดชอบระหว่างทางที่มีการโอนเงินได้ทำตามหน้าที่หรือไม่ ทั้งนี้ ในอนาคต ศธ.และปปง.จะทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ หรือเอ็มโอยู เพื่อร่วมกันตรวจสอบเรื่องอื่นๆ ด้วย ส่วนที่มีผู้เสนอให้นำระบบไอซีทีมาใช้ในการตรวจสอบการเบิกจ่ายเงินนั้น เป็นเรื่องที่ดี นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ ก็เห็นด้วยและมอบให้ สป.ศธ.ไปศึกษาระบบ
** อ่านต้นฉบับเต็มได้ที่ หนังสือพิมพ์สยามรัฐ