“การุณ”รุดแจ้งความดำเนินคดีเจ้าของ22บัญชีที่รับโอน 88 ล. พร้อมมอบสำนักนิติการ ดำเนินการทางวินัย ขรก.ซี 8 คาดเสนอ อ.ก.พ.สป.พิจารณาโทษในสัปดาห์หน้า ส่วนอีก 4 ราย อยู่ระหว่างตั้งกก.สืบข้อเท็จจริง
เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 13 มี.ค.61 นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) พร้อมเจ้าหน้าที่ นิติกร สำนักนิติการ สำนักงานปลัดกระทรวง ได้นำเอกสารหลักฐานไปแจ้งความที่ สน.ดุสิต เพื่อเอาผิดเจ้าของบัญชี 22 บัญชี ที่รับโอนเงินจากกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต รวม 88 ล้านบาท หลังจากที่กลุ่มตรวจสอบภายใน สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ(สป.ศธ.) ตรวจสอบพบว่า 22 บัญชี ที่เป็นชื่อบุคคลไม่ใช่สถานศึกษา เข้าข่ายไม่ชอบมาพากล และเป็นการแอบอ้าง สวมรอยว่าเป็นบัญชีสถานศึกษา เพื่อขออนุมัติเงินจากคณะกรรมการกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต
ทั้งนี้ นายการุณ ยังให้ข้อมูลกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยว่า จากการตรวจสอบพบเงินเข้าออกบัญชีทุกปีอย่างสม่ำเสมอในช่วงเวลา 10 ปี ที่ผ่านมา จึงมั่นใจว่าเจ้าของบัญชีทั้ง 22 บัญชี มีส่วนร่วมในการกระทำผิด อีกทั้งเป็นเครือญาติกับนักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการ ผู้รับผิดชอบกองทุนฯ ที่รับสารภาพไปก่อนหน้านี้แล้ว
“ขณะนี้ผมได้มอบหมายให้สำนักนิติการ สป.ศธ. นำเรื่องเสนอเข้าคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) สป. เพื่อพิจารณาโทษทางวินัยกับข้าราชการระดับ 8 ที่รับสารภาพรายนี้ ส่วนอีก 4 รายยังอยู่ในกระบวนการตั้งกรรมการสืบข้อเท็จจริง” นายการุณ กล่าว
ด้าน พ.ต.ท.บำเพ็ญ ไวยรจนา ปฏิบัติหน้าที่สารวัตรสอบสวน สน.ดุสิต กล่าวว่า จะต้องตรวจสอบพยานหลักฐาน ว่าเจ้าของบัญชีรู้เห็นเป็นใจหรือไม่ และต้องดูว่าได้ประโยชน์จากการเปิดบัญชีหรือไม่ หากรู้เห็นเป็นใจจะกลายเป็นตัวการร่วมในการกระทำความผิดในข้อหายักยอกทรัพย์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในสัปดาห์นี้กลุ่มวินัย อุทธรณ์ และร้องทุกข์ จะเสนอเรื่องดังกล่าวให้ ปลัด ศธ.เห็นชอบ ก่อนที่จะเสนอเรื่องเข้าที่ประชุม อ.ก.พ.สป. เพื่อพิจาณาโทษทางวินัยแก่เจ้าหน้าที่ผู้กระทำการทุจริต ซึ่งได้รับสารภาพแล้ว ตามกฎ ก.พ. ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย พ.ศ.2556 กรณี ที่ปรากฏชัดแจ้งตามข้อ 65(อนุ 3)ระบุว่า กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง และได้รับสารภาพเป็นหนังสือต่อผู้บังคับบัญชาแล้ว ผู้บังคับบัญชาจะดำเนินการทางวินัย โดยไม่ต้องสอบสวน หรืองดการสอบสวนก็ได้ และกรณีแบบนี้ ถือเป็นการกระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ซึ่งมีโทษ 2 กรณีเท่านั้น คือปลดออก และไล่ออก อีกทั้งผู้กระทำผิดได้รับสารภาพเป็นหนังสือต่อผู้บังคับบัญชาแล้ว ซึ่งผู้บังคับบัญชาจะดำเนินการทางวินัย โดยไม่ต้องสอบสวน หรืองดการสอบสวนก็ได้ อย่างไรก็ตามก่อนการพิจารณาโทษเป็นอำนาจของ อ.ก.พ.สป.ซึ่งมีปลัด ศธ.เป็นประธาน และเป็นผู้พิจารณาโทษโดยคาดว่าจะมีการประชุม อ.ก.พ.สป.นัดพิเศษในสัปดาห์หน้า
ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า จากการสอบถามหน่วยงานต้นสังกัดของข้าราชการซี 8 รายดังกล่าว พบว่า เจ้าตัวได้เดินทางไปปฏิบัติราชการที่ จ.เชียงใหม่ กับสำนักส่งเสริมกิจการการศึกษา ตั้งแต่วันที่ 11 มี.ค.2561 โดยมีกำหนดเดินทางกลับมาวันที่ 13 มี.ค.2561 ทั้งนี้ การเดินทางไปราชการที่ จ.เชียงใหม่ ครั้งนี้ ไม่ได้มีการทำหนังสือขออนุญาตจากปลัด ศธ. อย่างเป็นทางการ
วันเดียวกัน นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำชับในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้กระทรวงที่มีปัญหาทุจริต เร่งดำเนินการตรวจสอบ โดยทาง
นายกฯ จะส่งทีมของนายกฯมาร่วมตรวจสอบคู่ขนาดไปด้วย เพราะหากให้ข้าราชการตรวจสอบกันเองอาจจะล่าช้า ปัญหาทุจริตเป็นนายกฯ ติดตามอย่างใกล้ชิด ทั้งเรื่องกองทุนเสมาพัฒนาชีวิตของ ศธ.และปัญหาโกงเงินคนจน
“นายกฯ ขอให้ตรวจสอบตรงไปตรงมาและอยากทำให้เร็ว โดยผมได้กำชับให้ปลัด ศธ. รวบรวมกองทุนฯ ใน ศธ.ทั้งหมด และมอบหมายให้ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงษ์ รมช.ศึกษาธิการ แจ้งผู้บริหารองค์กรหลัก ให้ตรวจสอบกองทุนของแต่ละองค์กรด้วย ซึ่งไม่ใช่แต่กองทุนเท่านั้น คนที่อยู่ในกองคลัง ซึ่งดูแลเรื่องงบประมาณ ก็ต้องตรวจสอบโครงการอื่น ๆ ที่อาจจะเกิดปัญหาทุจริตด้วย โดยตอนนี้ ศธ. ส่งเรื่องให้ ป.ป.ท.ตรวจสอบ และทางนายกฯ เองก็ได้กำชับให้ ป.ป.ท. มาดูแลอีกทางหนึ่ง ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลตัวเลขการโอนเงินจากกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต ล่าสุดตัวเลขการโอนให้หน่วยงานอยู่ที่ 88 ล้านบาท จากเดิม 77 ล้านบาท ส่วนโอนเข้าบัญชีส่วนบุคคล 22 บัญชี ยังเป็นตัวเลข 88 ล้านบาทเท่าเดิม เท่ากับโอนเข้าตัวเองครึ่ง ๆ”
นพ.ธีระเกียรติ กล่าวและว่า ส่วนเรื่องเงินอุดหนุนรายหัวนักเรียนนั้น ก็ต้องดำเนินการตรวจสอบเช่นกัน เพราะในอดีตที่ผ่านมา เราไม่รู้ว่ามีการทุจริตหรือไม่ ต้องไปดู ไม่รู้ว่าจะมีอะไรโผล่มาอีก เพราะข้อมูลล่าสุดพบว่า รายหัวเด็กมีชื่อซ้ำซ้อนอยู่แสนกว่าคน ต้องไปดูว่าซ้อนเพราะอะไร ใครซ้ำซ้อนกับใคร ซึ่งตนกำฃังให้ทำการตรวจสอบข้อมูลที่ชัดเจนก่อน
ด้านนายณรงค์ ศิริเมือง ผอ.โรงเรียนสมเด็จพระปิยมหาราชมณียเขต จ.กาญจนบุรี กล่าวว่า ปัจจุบันโรงเรียนมีครูอัตราจ้าง ที่ใช้เงินจากกองทุนเสมาฯ เพียง 1 ราย โดยจะได้รับโอนเงินปีละครั้งตามรอบปีงบประมาณ แต่ตลอดช่วงเวลา 5 ปีที่ดำรงตำแหน่ง ผอ.โรงเรียนแห่ง ไม่ได้เจอปัญหาว่าไม่ได้รับโอนเงิน แต่เป็นปัญหาเรื่องความล่าช้าที่ส่งผลกระทบให้โรงเรียนต้องรับภาระในการจัดหางบฯ มาจ่ายเป็นค่าจ้างครูแทน
“ผมเพิ่งให้ฝ่ายการเงินของโรงเรียนนำเอกสารบัญชีมาตรวจสอบ ก็พบว่าโรงเรียนได้เงินส่วนนี้ล่าช้าทุกปี ไม่เคยได้ตรงรอบปีงบฯ แต่จะได้รับโอนในเดือน ก.ย.เป็นแบบนี้มาตลอดที่ผมมาเป็น ผอ.โรงเรียน ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการสอบถามไปอยู่ ขณะเดียวกันก็เคยสอบถาม ผอ.โรงเรียนอื่น ก็พบว่าเจอปัญหาในลักษณะเดียวกัน อย่างไรก็ตาม เงินจากกองทุนเสมาฯ ถือเป็นเงินบุญ เงินกุศลเพื่อช่วยเหลือเด็ก เป้าหมายแต่แรกในการตั้งต้นกองทุนช่วยเหลือเด็กหญิงในภาคเหนือ พ้นจากภาวะตกเขียว เมื่อครั้งผมเป็นครูผู้สอนที่โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 46 ชัยนาท ประมาณปี 2544 ก็มีเด็กหญิงจากจังหวัดเชียงราย 10 คนมาเรียนนั่น และก็เป็นที่มาที่มีการนำเงินกองทุนมีการจัดสรรเงิน เพื่อจ้างเด็กที่เรียนจบเหล่านี้ทำงานต่อเพื่อได้มีอาชีพ” นายณรงค์ กล่าว
** อ่านต้นฉบับเต็มได้ที่ หนังสือพิมพ์สยามรัฐ