ถก 2 มี.ค.หากเข้าข่ายตั้งกรรมการสืบฯ ยึดหลักกฎหมายของคุรุสภา “สมศักดิ์” ชี้ต้องแยกแยะเรื่องจรรยาบรรณ วินัย และคดีอาญาไม่เกี่ยวข้อง
ดร.สมศักดิ์ ดลประสิทธิ์ ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการคุรุสภา เปิดเผยถึงกรณีคดีหวย 30 ล้าน ซึ่งศาลอนุมัติหมายจับ นายปรีชา ใคร่ครวญ ครูชำนาญการพิเศษโรงเรียนเทพมงคลรังษี ต.บ้านเหนือ อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ว่าขณะนี้ตนถือว่าครูปรีชา ยังไม่มีโทษ เพราะศาลยังไม่ได้ตัดสิน แต่เมื่อปรากฏเป็นข่าวและสังคมวิพากษ์วิจารณ์กันมาก ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสื่อมเสียของวิชาชีพ ในวันที่ 2 มี.ค.นี้ ตนจะหารือกับเจ้าหน้าที่เพื่อรวบรวมข้อมูลว่าความผิดที่ครูปรีชา ถูกกล่าวหา ว่าอยู่ในข่ายการประพฤติผิดจรรยาบรรณของวิชาชีพครูหรือไม่ ถ้าอยู่ในข่ายประพฤติผิดจรรยาบรรณ ตาม พ.ร.บ.ครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2546 ตนก็จะใช้อำนาจเลขาธิการคุรุสภา ตั้งคณะกรรมการสืบข้อเท็จจริง
“คุรุสภา ไม่ดำเนินการตามกระแส จะยึดหลักกฎหมายของคุรุสภา ซึ่งตามขั้นตอนปกติถ้าครูหรือบุคลากรทางการศึกษาได้รับการกล่าวหา กล่าวโทษ ว่าทำผิดจรรยาบรรณวิชาชีพ เลขาธิการคุรุสภา จะต้องรายงานต่อคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ (กมว.) แต่ขณะนี้ไม่มี กมว.จึงเป็นอำนาจของเลขาธิการคุรุสภา ในการตั้งคณะกรรมการสืบข้อเท็จจริง และรายงานต่อคณะกรรมการคุรุสภา ซึ่งถ้าทำผิดจรรยาบรรณจริงก็มีโทษ ตั้งแต่การตักเตือน ภาคทัณฑ์ พักใช้ และเพิกถอนใบอนุญาต แต่ในกรณีที่ถูกกล่าวหาอย่างนี้ ถ้าคดียังไม่สิ้นสุดเราก็ต้องให้ความเป็นธรรม
ทั้งนี้ ต้องเข้าใจว่าคดีไม่ได้สิ้นสุดที่ตำรวจ คดีสิ้นสุดที่ศาลตัดสิน และต้องแยกแยะระหว่างจรรยาบรรณ กับเรื่องวินัย และคดีอาญาไม่เกี่ยวกัน แต่อาจเชื่อมความผิดตรงกันได้ ซึ่งกรณีนี้กรรมการสืบข้อเท็จจริง อาจจะสืบข้อมูลร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือหากหน่วยงานต้นสังกัดของครูปรีชา ตั้งกรรมการสอบวินัย คุรุสภาก็จะไปทำงานคู่กัน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ตรงกัน”ดร.สมศักดิ์ กล่าว
** อ่านต้นฉบับเต็มได้ที่ หนังสือพิมพ์สยามรัฐ