“หมอจรัส” จี้ปรับระบบประเมินระดับชาติทุกช่วงชั้น จัดเป็นมาตรฐานกลาง ต้องดึงศักยภาพผู้เรียน-ไม่ใช่ประเมินว่าใครสอบได้คะแนนสูง-ต่ำ แนะ ศธ.ทำระบบฐานข้อมูลเด็กฐานเดียวเชื่อมโยงใช้ทุกหน่วยงาน
วันที่ 4 ก.ค.60 ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า จากการหารือร่วมกับ ศ.นพ.จรัส สุวรรณเวลา ประธานคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฎิรูปการศึกษาถึงทิศทางการปฏิรูปการศึกษา ได้พูดถึงประเด็นสำคัญที่ต้องดำเนินการ 2 เรื่อง ได้แก่ เรื่องแรก ปรับระบบการประเมินผลระดับชาติของนักเรียนทุกช่วงชั้น คือ ระดับประถมศึกษา (ป.) ป.3 และ ป.6, ระดับมัธยมศึกษา(ม.) ม.3 และ ม.6 และเรื่องที่สอง การจัดทำระบบฐานข้อมูลนักเรียน
ทั้งนี้ ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 เขียนไว้ชัดเจนคุณลักษณะที่พึงประสงค์ คุณสมบัติของผู้จบการศึกษาในอนาคตจะต้อง มีคุณธรรมจริยธรรม มีทักษะในศตวรรษที่ 21 และมีความรู้พื้นฐานที่จำเป็น ดังนั้น การปรับระบบการประเมินผลระดับชาติ ต้องสอดคล้องกับเรื่องเหล่านี้ และจัดทำเป็นมาตรฐานกลาง เหมือนการสอบวัดเปรียญธรรม การสอบมาตรฐานภาษาอังกฤษ (โทเฟล) ซึ่งเป็นมาตรฐานกลางและได้รับการยอมรับ โดย ศ.นพ.จรัส อยากให้การประเมินผลนักเรียนแบบใหม่เป็นการดึงศักยภาพของเด็กแต่ละคนออกมาเหมือนใยแมงมุม ที่ระบุว่าเด็กแต่ละคนมีจุดเด่นจุดด้อยตรงไหน และเลือกศักยภาพของเด็กมาใช้ได้อย่างตรงจุด
“การประเมินผลแบบใยแมงมุมจะทำให้รู้จุดเด่น จุดด้อยเด็กแต่ละคน ครูผู้สอนก็ได้ทราบถึงทักษะของเด็กแต่ละคนด้วย ตรงนี้แก้ปัญหาคุณภาพการศึกษาได้อย่างเป็นรูปธรรม ไม่อยากให้ประเมินว่าใครสอบได้คะแนนสูง ต่ำ ซึ่งหากมีการปรับระบบประเมินผลระดับชาติใหม่ ก็จะต้องปรับการเรียนการสอนในห้องเรียน และหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานให้สอดคล้องกัน”
ดร.ชัยพฤกษ์ กล่าวและว่า เร็วๆ นี้จะนัดผู้บริหารองค์กรหลักของ ศธ., ผอ.สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) มาหารือร่วมกับ ศ.นพ.จรัส เพื่อวางแนวทางต่อไป
ดร.ชัยพฤกษ์ กล่าวต่อไปว่า ในส่วนการจัดทำระบบฐานข้อมูลนักเรียน ขณะนี้รัฐบาลมีนโยบาย Digital Economy การขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่ง ศ.นพ.จรัส แนะนำว่า ศธ. ควรจะจัดทำระบบฐานข้อมูลการศึกษา ที่เป็นฐานเดียวกัน และสามารถเชื่อมโยงกับหน่วยงานต่างๆได้ ทั้งในสังกัดและนอกสังกัด ศธ. และทางคณะกรรมการอิสระฯ ก็พร้อมที่จะสนับสนุนอย่างเต็มที่ หากจะต้องมีการผลักดันให้มีกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้เกิดขึ้น
** อ่านต้นฉบับเต็มได้ที่ หนังสือพิมพ์สยามรัฐ