ปลัด ศธ.เผยหลังสรรหาครบแล้ว องค์กรหลักพร้อมมอบอำนาจ และงบฯ บางส่วนให้ ศธภ. และศึกษาธิการขังหวัด (ศธจ.) ดูแล ตามนโยบายกระจายอำนาจการจัดการศึกษาลงสู่ภูมิภาค
ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า ตามที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 เรื่องการแก้ไขปัญหาการบริหารงานบุคคลของ ศธ. กำหนดให้ ศธภ.จำนวน 12 ตำแหน่ง โดยเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง และมีรอง ศธภ.12 ตำแหน่ง เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับต้น นั้น เพื่อให้การบริหารจัดการ ศธภ.เป็นไปอย่างมีระบบ ตนจะเสนอให้คณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของ ศธ.ในภูมิภาค ที่มีนพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธาน พิจารณารวมกรุงเทพมหานครฯ รวมไว้ใน ศธภ.1 กลุ่มจังหวัดเดียวกับปทุมธานี นนทบุรี พระนครศรีอยุธยา และสระบุรี จากเดิมที่อยู่ในการกำกับดูแลของส่วนกลางไม่ขึ้นกับ ศธภ.
นอกจากนี้ยังได้หารือกับผู้เกี่ยวข้องว่าจำเป็นต้องยุบตำแหน่ง ศธภ.18 ตำแหน่งให้เหลือ 12ตำแหน่งตามอัตราที่ได้รับมาหรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่เห็นว่าจะคงตำแหน่ง ศธภ.ไว้ 18 อัตรา ตามเดิม ส่วนที่ยังขาดอีก 6 อัตรา จะใช้วิธีการบริหารจัดการบุคลากรภายใน ศธ.เพื่อให้มี ศธภ.ครบทั้ง 18ตำแหน่ง ซึ่งอาจจะพิจารณาให้ ศธภ.นั่งควบหรือมอบหมายให้ผู้ตรวจราชการ ศธ.เป็นผู้กำกับดูแล
ปลัด ศธ.กล่าวต่อไปว่า ส่วนการสรรหา ศธภ. และรอง ศธภ.จะเริ่มดำเนินการในเดือน มี.ค. โดยจะเปิดโอกาสให้ผู้สนใจที่มีตำแหน่งบริหารสระดับสูงและระดับต้น อาทิ ผู้ตรวจราชการ ศธ., เลขาธิการ/รองเลขาธิการ คณะกรรมการการข้าราชการครูและบุคลาการทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เลขาธิการ/รองเลขาธิการ สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) เลขาธิการ/รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) แสดงความจำนงขอย้ายก่อน จากนั้นจึงดำเนินการการสรรหาเพื่อเลื่อนจากข้าราชการ ระดับ 9 ขึ้น 10 และระดับ 8 ขึ้น 9 ตามลำดับ คาดว่ากระบวนการสรรหาทั้งหมดจะเสร็จสิ้นภายในเดือน เม.ย.60
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ ศธภ.และรอง ศธภ.ครบแล้ว จะทำให้ส่วนกลางมีอำนาจในการกำกับดูแลการจัดการศึกษาในส่วนภูมิภาคลดลง โดยองค์กรหลักที่เกี่ยวข้องจะต้องมอบอำนาจ และงบฯ บางส่วนให้ ศธภ. และศึกษาธิการขังหวัด (ศธจ.) เป็นผู้ดูแล ตามนโยบายกระจายอำนาจการจัดการศึกษาลงสู่ภูมิภาค
/////////////////////
** อ่านต้นฉบับเต็มได้ที่ หนังสือพิมพ์สยามรัฐ