“สวนสุนันทา” รับตรงรอบแรก ม.6 แห่สมัครชิงที่นั่งเกือบ 4 หมื่นคนรับจริงแค่ 8,000 สายครุศาสตร์ยังติดลมบนอัตราแข่งขันสูง 36 ต่อ 1 ด้าน “อธิการบดี” ชี้หลายสาขาซบเซาตามสภาวะเศรษฐกิจ วิเคราะห์ทิศทางรับมือ”เคลียริ่งเฮ้าส์” ปีหน้า
รศ.ดร.ฤๅเดช เกิดวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เปิดเผยว่าตามที่สวนสุนันทาเปิดรับนักศึกษา ระบบสอบตรงรอบที่1 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายก่อนที่จะเข้าสู่ระบบเคลียริ่งเฮ้าส์ หรือระบบสอบตรงร่วมกับมหาวิทยาลัยอื่นๆ ทั่วประเทศนั้น ปรากฏว่ายอดรวมของนักเรียน ม.6 ที่สมัครเข้าสอบแข่งขันรวมทั้งสิ้น 36,854 คน จากจำนวนรับตามแผน 8,315 คน โดยในรอบแรก รับประมาณ 4,000 คน ทั้งนี้คณะที่มีผู้สมัครสอบมากที่สุดคือคณะครุศาสตร์ จำนวนทั้งสิ้น 11,284 คน
โดยอัตราแข่งขันสูงสุด 5 อันดับ ยังคงเป็นสาขาวิชาของคณะครุศาสตร์ทั้งหมด สูงสุดคือสังคมศึกษา 1 ต่อ 36, การศึกษาปมวัย 1 ต่อ 35 และภาษาไทย 1 ต่อ 33
อธิการบดี กล่าวต่อว่า ในภาพรวมถือว่าจำนวนรับนักศึกษาของสวนสุนันทา เป็นที่น่าพอใจ มหาวิทยาลัยมีโอกาสคัดคนเก่งเข้าศึกษา ซึ่งจะส่งผลต่อคุณภาพบัณฑิตโดยตรง เพราะได้คนที่มีคุณภาพเข้ามาเรียน อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่าบางสาขาวิชาาอยู่ในภาวะวิกฤติตามสภาพสังคมเศรษฐกิจ เช่น สาขาอุตสาหกรรมการพิมพ์ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีการพิมพ์ การออกแบบสิ่งพิมพ์ และการจัดการอุตสาหกรรมการพิมพ์ อยู่ในภาวะซบเซามากเป็นไปตามสภาพการณ์ของธุรกิจประเภทนี้ ที่มีการติดตัวไปหลายสำนัก แต่ก็น่าประหลาดใจที่สาขานิเทศศาสตร์ทั้งหมดยังมีผู้สมัครเรียนล้นหลามเหมือนเดิม
“สวนสุนันทา มีการเก็บข้อมูลย้อนหลังมานาน 10 ปี เมื่อนำมาวิเคราะห์จะเห็นทิศทางและแนวโน้มของหลายๆ สาขาวิชาว่าเป็นอย่างไร เมื่อนำมาวิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลสถานการณ์ด้านตลาดแรงงานในวิชาชีพนั้น มหาวิทยาลัยก็มีข้อสรุปในเบื้องต้นได้ว่า สาขาใดเป็นจุดแข็งที่ควรส่งเสริม และสาขาใดที่ต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ดำรงอยู่ได้ มหาวิทยาลัยมีการวิเคราะห์สถานการณ์อยู่ตลอดเวลา และมีการตั้งคณะทำงานเพื่อเตรียมการรับมือกับระบบสอบตรงร่วม หรือเคลียริ่งเฮ้าส์ ที่จะเริ่มในปีหน้า เชื่อมั่นว่าสวนสุนันทาไม่มีผลกระทบกับระบบนี้ และสามารถแข่งขันกับมหาวิทยาลัยชั้นนำอื่นๆ ได้ เพราะสวนสุนันทาเป็นทางเลือกที่ดีแห่งหนึ่งของนักเรียน ม.6 สามารถยืนยันได้จากตัวเลขผู้สมัครระบบตรงที่พบว่าใน 5 ปีหลังมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 7 หมื่นคนมาโดยตลอด” รศ.ดร.ฤๅเดช กล่าว
** อ่านต้นฉบับเต็มได้ที่ หนังสือพิมพ์สยามรัฐ