เสือตัวที่ 6
สถานการณ์การติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประเทศต่างๆ ทั่วโลก มีการแพร่ระบาดขยายวงกว้างออกไปอย่างก้าวกระโดดจนไม่เห็นหนทางที่จะหยุดยั้งหรือเอาชนะภัยคุกคามรูปแบบใหม่จากไวรัสร้ายตัวนี้ได้ นอกจากการป้องกันตนเองด้วยวัคซีนซึ่งดูจะเป็นความหวังเดียวของมวลมนุษยชาติทั่วโลกในขณะนี้ จากสถิติผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เมื่อ 20 เม.ย.64 พบผู้ป่วยสะสมรวมมากกว่า 142 ล้านคน โดย จำนวนผู้ป่วยรายวันเพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2564 จนอยู่ในระดับมากกว่า 8 แสนคนต่อวัน ซึ่งเกิด จากการระบาดที่เพิ่มมากขึ้นในอินเดีย และการระบาดที่ยังคงสูงในสหรัฐอเมริกา บราซิล และในยุโรป ส่วน จำนวนผู้เสียชีวิตรายวัน ยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 1.5 หมื่นคนต่อวัน รวมผู้เสียชีวิตทั้งหมดมากกว่า 3 ล้านคน ส่วนใน ประเทศไทย พบผู้ติดเชื้อสะสมจากการระบาดในระลอกใหม่ 16,322 ราย โดยจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันในประเทศยังคงอยู่ในระดับหลักพันคนต่อวัน แม้จะมียอดผู้ติดเชื้อที่ดูจะคงที่ หากแต่ก็ยังไว้ใจไม่ได้ ซึ่งมีการติดเชื้อแพร่กระจายไปใน 77 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มี ประวัติเดินทางไปยังสถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ หรือมีประวัติสัมผัสกับผู้ที่เดินทางไปยังสถานที่ดังกล่าว โดยผู้ติดเชื้อรอบที่สามในประเทศไทย ส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการ และผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ในรอบสามนี้ กลับเป็นคนในวัยหนุ่มสาวหรือวัยทำงาน มากกว่าในสองรอบแรกซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นผู้สูงอายุ
นั่นแสดงให้เห็นว่า เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตัวที่กำลังระบาดในประเทศไทยรอบนี้ มีการพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้น จนสามารถหลบซ่อนตัวเองอยู่ในร่างกายมนุษย์จนกว่ามันจะกล้าแข็ง เพื่อให้มันมีโอกาสสูงขึ้นในการรอดพ้นการถูกตรวจพบ และพวกมันจะได้มีโอกาสในการขยายเผ่าพันธุ์ของพวกมันได้มากขึ้น อีกทั้งไวรัสกลุ่มใหม่นี้ ยังพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้น จนสามารถแทรกปน แอบซ่อนเข้าไปในร่างกายของมนุษย์แม้ว่าจะมีร่างกายที่แข็งแรง หรือในวัยหนุ่มสาวได้มากขึ้น และไวรัสกลุ่มนี้ ยังเก่งขึ้นในด้านการขยายพันธุ์ได้มากกว่าเผ่าพันธุ์เดิมของมันถึง 1.7 เท่า ไวรัสกลุ่มนี้ จึงร้ายกาจกว่าไวรัสสายพันธุ์เดิมที่มันเคยคุกคามคนไทยอยู่ในสองรอบแรกอย่างเห็นได้ชัด โรคติดเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่หรือโควิด-19 นั้น เกิดจากเชื้อไวรัสโคโรนาซาร์โควี-2 (SAR-CoV-2) ที่มันร้ายกาจและคุกคามชาวมนุษยโลกอย่างน่าสะพรึงกลัวกว่าการคุกคามของเชื้อโรคใดๆ ก็คือ มันสามารถแพร่เชื้อไวรัสจากคนสู่คนผ่านระบบหายใจ โดยได้รับเชื้อละอองฝอย (Droplets) จากการไอหรือจาม การสัมผัสสารคัดหลั่ง (Contact) เช่น น้ำลาย น้ำมูก เสมหะ เป็นต้น ในรอบนี้ ผู้ที่ได้รับเชื้อส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการใด ๆ บางรายอาจมีอาการเล็กน้อย เช่น ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ รู้สึกเหมือนมีไข้ เจ็บคอ ทำให้คนเหล่านั้นเดินทางไปไหนมาไหนโดยเป็นผู้นำไวรัสไปขยายพันธุ์ให้คนอื่นๆ โดยไม่รู้ตัวทั้งคนนำพาโรคและคนที่ตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก
ในวันนี้ (20 เม.ย.64) จึงมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่จำนวนมาก ถึง 1,443 รายใน 68 จังหวัด โดยจังหวัดที่พบผู้ติดเชื้อจำนวนมากในห้วงนี้ ได้แก่ กทม. เชียงใหม่ ชลบุรี และสมุทรปราการ คนไทยจึงทำได้เพียงการป้องกันตนเองตามแนวทางพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความเข้มข้นของการเฝ้าระวังในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการ การ ดำเนินการตรวจคัดกรองเชิงรุกในจังหวัดที่พบผู้ติดเชื้อจำนวนมาก สอบสวนโรคเพื่อค้นหาสถานที่เสี่ยงและปัจจัยเสี่ยง และสื่อสารให้กับประชาชนเพื่อให้ความร่วมมือในการยกระดับมาตรการป้องกันโรค อาทิ การสวมใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ ทำงานอยู่ที่บ้าน ลดการเดินทางที่ไม่จำเป็นโดยยานพาหนะสาธารณะ การหลีกเลี่ยงการไปอยู่ในสถานที่ปิดและมีคนรวมกันเป็นจำนวนมาก เป็นต้น เหล่านี้คือแนวปฏิบัติพื้นฐานที่คนทั่วโลก กำลังดำเนินการเพื่อป้องกันตนเองในเบื้องต้นก่อนที่รัฐบาลของประเทศตนจะบริหารจัดการให้คนในชาติได้รับวัคซีนป้องกันโรคร้ายนี้ในโอกาสต่อไป ซึ่งภัยคุกคามจากไวรัสร้ายครั้งนี้ เป็นเรื่องใหม่ที่ไม่มีคนใดในโลกที่จะมีองค์ความรู้มากพอที่จะฟันธงได้ว่า มันดำรงชีวิตอย่างไร มีศักยภาพในการดำรงอยู่และขยายเผ่าพันธุ์ได้ขนาดไหน อย่างไร รวมทั้งจะสามารถเอาชนะมันได้ด้วยวิธีการใด ทุกวันนี้ นักชีววิทยา และบรรดาแพทย์ทั้งหลาย จึงทำได้เพียงการเก็บข้อมูล ศึกษาวิเคราะห์ไป คาดการณ์ไป ควบคู่กับการรักษา ป้องกัน แบบลองผิด ลองถูก หากจนถึงวันนี้การต่อสู้กับภัยคุกคามตัวใหม่นี้ จึงต้องทำควบคู่กับการเรียนรู้อยู่ต่อไปอย่างไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
ความรู้เดิมที่เคยเชื่อว่า เชื้อไวรัสนี้ มีศักยภาพในการแพร่กระจายได้ไม่เกิน 1 – 2 เมตร อาจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย ความรู้ความเชื่อเดิมที่ว่า ศักยภาพในการเติบโตของไวรัสร้ายนี้ในร่างกายมนุษย์ ต้องใช้เวลาประมาณ 14 วันนั้น อาจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย การติดเชื้อแล้ว ร่างกายของคนคนนั้น จะมีภูมิต้านทานไวรัสตัวนี้ได้ดีขึ้น อาจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย และคนที่ติดเชื้อแล้วอาจติดเชื้อร้ายนี้ได้อีก จึงมีให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ชัด และที่สำคัญ ความหวังเดียวที่คนในโลกกำลังไขว่คว้าอยู่คือ การได้รับวัคซีนเพื่อป้องกันไวรัสร้ายตัวนี้ ก็อาจไม่เป็นดังที่หวัง เพราะวันนี้ คนที่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคร้ายนี้ครบโดสแล้ว ยังติดเชื้อไวรัสนี้อีกอย่างไม่น่าเชื่อ
แต่กระนั้นก็ตาม สถานการณ์ที่สับสน รวมทั้งการมีข้อมูลที่ยังไม่ชัดเจนและนิ่งพอ วัคซีนป้องกันโคโรนา 2019 จึงเป็นความหวังเดียวของมนุษยโลก โดยเฉพาะในขณะนี้ที่ประเทศไทย ยังมีโอกาสรับการฉีดวัคซีนในอัตราที่ช้ามาก หากเทียบกับหลายๆ ประเทศแม้ประเทศเพื่อนบ้านที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจน้อยกว่าไทย โดยจากข้อมูลเมื่อ 19 เม.ย.64 พบว่า มีผู้ได้รับการฉีดวัคซีนไปเพียง 0.4% ของประชากรของไทยทั้งหมด ทำให้ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของบริษัทขนาดใหญ่กว่า 40 บริษัทจากทุกกลุ่มธุรกิจ เห็นตรงกันว่าจะต้องมีการจัดหาวัคซีนทางเลือกให้เพียงพอ และภาคเอกชนสนับสนุนภาครัฐให้สามารถเปิดประเทศได้อย่างรวดเร็ว เพื่อความปลอดภัยและขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ต้องดึงความร่วมมือจากทุกฝ่าย การฉีดวัคซีนไปเพียง 0.4% ของประชากรเท่านั้น (ข้อมูล ณ วันที่ 19 เม.ย.64 จากเว็บไซต์บลูมเบิร์ก) ซึ่งถือว่าล่าช้ามากสำหรับการที่จะเปิดประเทศที่จะต้องฉีดให้ได้ถึง 70% ของประชากร ภาครัฐจำเป็นต้องจัดหาวัคซีนให้เพียงพอกับทุกคน ซึ่งภาคเอกชนพร้อมจะสนับสนุน
และแม้ว่า คนไทยหรือคนในประเทศต่างๆ ในโลก จะได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้ว หากแต่บทเรียนที่ได้รับตลอดเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา พบว่า ไวรัสตัวนี้ ไม่มีการหยุดนิ่ง มันพัฒนาศักยภาพตัวเอง เผ่าพันธุ์ของพวกมันให้แปรเปลี่ยน เพื่อความกล้าแข็งมากขึ้นในทุกวัน ซึ่งนั่นคือการแปรเปลี่ยนที่มนุษยโลกต้องเรียนรู้ให้ทัน เพื่อสามารถหยุดยั้งการคุกคามนี้ต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด