สวัสดีครับผม Mr. Leon มาแล้ว ตอนนี้ที่ญี่ปุ่นอากาศอบอุ่นขึ้นและเริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ดอกบ๊วยและดอกซากุระก็เริ่มทยอยเบ่งบาน ช่วงนี้เป็นช่วงปิดการศึกษาและมีพิธีจบการศึกษาของแต่ละโรงเรียน และเป็นช่วงที่เริ่มเข้าสู่เวทีสอบเข้าสู่ชั้นเรียนใหม่ๆ ผมได้คุยกับเพื่อนที่ญี่ปุ่นเพื่อนเล่าให้ฟังว่าลูกชายของเขาต้องไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยในวันที่ตรงกับพิธีจบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย จึงไม่สามารถไปร่วมพิธีจบการศึกษาได้ น่าเสียดายมาก
รับ
สมัยก่อนรุ่นพวกเรานั้นไม่ว่าพิธีใดๆ ก็เป็นพิธีที่สำคัญทั้งสิ้น เด็กที่เรียนจบระดับชั้นการศึกษาต่างๆ ควรจะได้ร่วมพิธีจบการศึกษาและการสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็เป็นสิ่งสำคัญที่เด็กม. ปลายทุกคนรอคอย แต่ด้วยเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ไม่สามารถจัดงานต่างๆ ได้อย่างปกติ และทำให้งานต่างๆ อาจจะต้องถูกจัดตรงกันหลายงานและไม่สามารถจะไปร่วมงานได้ทุกงาน ปีสองปีที่ผ่านมาเราไม่ได้ออกไปไหนตามปกติ ต้องใช้ชีวิตในรูปแบบใหม่ๆ เราในฐานะผู้ใหญ่ก็ไม่ค่อยมีผลกระทบอะไรมากเพราะเคยผ่านประสบการณ์และการเรียนรู้ต่างๆ มามากพอสมควร แต่เด็กวัยรุ่นและเด็กรุ่นใหม่ที่ต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ก็ถือว่าน่าสงสารมากทีเดียว
ถ้าพูดถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิที่อากาศอบอุ่นขึ้น คนญี่ปุ่นจะรู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาที่ต้องออกไปเที่ยวไปแคมป์ปิ้ง ไปพักผ่อน กินข้าวตามสวนสาธารณะ ใต้ต้นไม้ ดูซากุระ ริมแม่น้ำ บ้างก็ไปเล่นน้ำตามแม่น้ำลำคลอง ซึ่งมีข่าวอุบัติเหตุทางน้ำค่อนข้างเยอะทุกปี แถมยังมีคนบางประเภทที่ชอบไปตั้งแคมป์ที่เนินทรายแห้งกลางแม่น้ำ ถึงจะไม่มีน้ำแต่ก็ไม่ปลอดภัยและไม่ควรทำ ถ้าไม่มีเหตุการณ์อะไรที่ไม่คาดคิดก็ดีไป แต่ก็มีข่าวไม่ดีทุกปีเลยครับ
ผมได้อ่านเรื่องที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ทางน้ำที่แชร์กันในโลกโซเชียลเรื่องหนึ่งอยากเอามาเล่าให้ฟังคร่าวๆ ครับ (ผู้เขียนกระทู้แทนตัวเองว่า “ผม”)
..เพื่อนร่วมชั้นของผมจมน้ำตายในแม่น้ำ (ต่อไปขอแทนว่านาย A) ผมจำเรื่องราวนี้ได้ทุกครั้งที่ได้ฟังข่าวเกี่ยวกับอุบัติเหตุทางน้ำ นาย A หายตัวไปและพบว่าเสียชีวิตในแม่น้ำในอีกไม่กี่วันต่อมา แต่ผมไม่คิดว่านี่เป็นเพียงอุบัติเหตุ
ตอนที่ผมอยู่ชั้นป. 5 ผมและนาย A เรียนอยู่ห้องเดียวกัน เรามักจะไปตกปลาด้วยกันเสมอ ในช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนของชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 พวกเราไปตกปลาด้วยกันแทบทุกวัน พอถึงฤดูใบไม้ผลิในปีการศึกษาของชั้นป. 6 เมื่อหิมะละลายและทางการยกเลิกการห้ามขี่รถจักรยาน วันหนึ่งในเดือนมิถุนายน ไม่นานหลังจากฤดูตกปลาเริ่มขึ้น ผมเห็นนาย A ไปตกปลากับนาย B (เพื่อนในชั้นเดียวกัน)
จริงๆ แล้ว นาย B ไม่ค่อยถูกกับผมเท่าไหร่นัก นาย B เป็นคนที่ชอบพูดทับถมคนอื่นและแสดงตนว่าเหนือกว่า เขาเป็นคู่แข่งกับผมและนาย A เช่น เมื่อผมเล่นเกมได้คะแนนสูง นาย B จะพูดว่า เขาได้สูงกว่าผม 10,000 แต้ม
ผมเจอแบบนี้บ่อยๆ จึงทำใจให้ยอมรับอย่างสนิทใจไม่ได้ จึงรักษาระยะห่างจากนาย B ให้มากที่สุด
เมื่อผมเห็นนาย B และนาย A ไปด้วยกัน ผมก็รู้สึกอิจฉาและคิดว่าผมไม่ควรไปตกปลากับนาย A อีกต่อไป
ในคืนนั้นเอง..
มีโทรศัพท์มาจากหัวหน้ากลุ่มในชั้นเรียนว่า “นาย A หายตัวไป” ใครๆ ก็รู้ว่า ผมมีความสัมพันธ์ที่ดีกับนาย A ผมคุยโทรศัพท์กับคุณแม่ของนาย A คุณแม่ของนาย A ถามผมว่า “ผมไปตกปลาด้วยกันกับนาย A หรือเปล่า เพราะไม่มีอุปกรณ์ตกปลาอยู่ในห้อง” ที่จริงผมควรจะพูดตามตรงว่า “ผมเห็นนาย A ไปกับนาย B” แต่ตอนที่ผมยังเป็นเด็กๆ ตอนนั้นผมอิจฉาเพื่อน จึงได้แต่พูดว่า “ผมไม่ได้อยู่กับนาย A ผมไม่ได้เจอนาย A เลย” ผมพูด
ผมก็ขึ้นรถของพ่อแม่และเดินไปรอบๆ เพื่อหาว่านาย A จะหายไปไหน โดยเฉพาะสถานที่ตกปลาที่เคยไปกับนาย A พ่อแม่ของผมก็จดบันทึกสถานที่ทั้งหมดไว้ ผมรู้จากพ่อแม่ของผมในภายหลังว่า พ่อแม่ของนาย A ไม่ค่อยดูแลลูกนัก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปกติแล้วนาย A ทำอะไรในแต่ละวัน เหมือนเขาจะถูกทอดทิ้ง ซึ่งจากที่ผมเห็นคือ นาย A สวมเสื้อผ้าวนไปวนมาประมาณสามชุดในฤดูร้อนและสามชุดในฤดูหนาว และไม่ได้กินข้าวที่บ้าน ตอนที่พวกเราไปตกปลาด้วยกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นาย A และผมจะกินข้าวด้วยกันและกลับขึ้นมาเล่นอยู่ที่บ้านของผม
พ่อแม่ของผมคอยสังเกตพิกัดตำแหน่งของการตกปลา อาจเป็นเพราะตำรวจหรือครูขอให้ผมช่วยระบุตำแหน่งที่นาย A อาจจะตกน้ำ ตอนนั้นเป็นเรื่องราวของยุคสมัยที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือ
ผมเดินไปรอบๆ จุดตกปลาที่ผมเคยไปกับนาย A และตรวจสอบว่ามีจักรยานหรืออุปกรณ์ตกปลาอยู่ใกล้ๆ หรือไม่
วันต่อมา ผมก็ไปโรงเรียนตามปกติ ในชั้นเรียนมีการพูดคุยกันแต่เรื่องการหายตัวไปของนาย A
โดยนาย B ก็เข้ามาร่วมวงสนทนากับทุกคนด้วยใบหน้าที่ไร้เดียงสามาก ผมไม่กล้าถามอะไรนาย B เพราะนาย B เป็นคนที่มีอารมณ์รุนแรงชอบใช้ความรุนแรงโดยเฉพาะเมื่อไม่ชอบอะไรบางอย่าง นาย B ไม่รู้ตัวแน่ๆ ว่าผมเห็นนาย B กับนาย A ในวันนั้น!
ทุกคนในชั้นเรียนสงสัยว่าผมได้ไปตกปลากับนาย A หรือไม่?! แต่ผมยุ่งเกินกว่าจะปฏิเสธพวกเขา ดูเหมือนว่าทุกวันพ่อแม่ของนาย A ก็ยังตามหานาย A ตั้งแต่เช้า พ่อแม่ของผมก็ให้ความร่วมมือในการค้นหาด้วย ผมคิดว่าความคลุมเครือนี้เกิดขึ้นประมาณสองวันหลังจากที่นาย A หายตัวไป
ต่อมาอาจารย์บอกว่าพบรองเท้าที่นาย A ใส่อยู่ในแม่น้ำ สถานที่ที่ค้นพบอยู่ไกลจากจุดตกปลาที่นาย A และผมเคยไป
“เจอรองเท้าในแม่น้ำ!” แค่นี้ก็เพียงพอที่ใครๆ หรือแม้แต่ผมที่เป็นเด็กนักเรียนชั้นประถม จะจินตนาการถึงความเป็นจริงที่น่าจะเกิดขึ้นได้
ผมช็อคมากและเป็นไข้ ผมจึงลาป่วย
แต่ด้วยความสัตย์จริง ผมไม่อยากไปโรงเรียนเลย ดังนั้นมันจึงเป็นจังหวะที่ทุกคนกล่าวว่า “ผมฆ่านาย A ” แม่ของผมก็หยุดงานและมาดูแลผม
ในขณะเดียวกันทางโรงเรียนก็โทรหาผมที่บ้าน “เจอแล้ว!! “
ประมาณหนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ผมรู้สึกดีขึ้น และเมื่อผมไปโรงเรียน ทุกคนเรียกผมว่า “ฆาตกร”
ผมเถียงอย่างสุดใจว่า “ถ้าตำรวจสอบสวนดูก็รู้ความจริง” แต่ไม่มีใครฟัง แม้ว่านาย B ไม่ได้เข้ามากล่าวว่าผมตรงๆ ดูเหมือนจะไม่ได้รังแกผม แต่ด้วยใบหน้าก็ดูออกว่าเขากำลังแสดงให้เห็นว่าเขาเหนือกว่า และคอยเฝ้าดูว่าผมจะถูกคนอื่นๆ กลั่นแกล้งรังแกอย่างไร
พอรวบรวมความกล้าได้ผมก็บอกคุณครูว่า “จริงๆ แล้ว วันนั้นผมเห็นนาย B อยู่กับนาย A” ครูรู้ว่าผมไม่สบายมากเพราะจิตตก เลยคิดว่ามันเป็นภาพลวงตาของเด็กๆ พวกเขาไม่ฟังสิ่งที่ผมบอกเลย ผมจึงบอกกับพ่อแม่ของผมด้วย แต่พวกเขาบอกว่า “ไหนบอกว่าไม่เห็นนาย A ในวันนั้นไง หมายความว่าอะไร โกหกหรือเปล่า”
เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งนาย B ก็โกรธผมและบอกว่า “แกบอกอะไรอาจารย์หรือเปล่า” ไม่รู้ว่าครูหรือพ่อแม่ของผมพูดกันแน่เพราะนาย B บอกว่าตำรวจบอกว่า “นาย A อยู่กับนาย B ในวันนั้น” แต่ดูเหมือนว่านาย B จะแค่ถูกพ่อแม่ดุ แต่เขาผ่านมันไปได้ด้วยการพูดยืนกรานว่า “ไม่ได้เจอ”
จักรยานที่นาย A ขี่ในวันนั้น ถูกพบใกล้กับบริเวณที่เขาอาจจะกำลังตกปลาอยู่ และในที่สุดตำรวจก็สรุปว่า “นาย A บังเอิญตกแม่น้ำและจมน้ำเสียชีวิต” แต่คำตอบในตัวผมกลับแตกต่างออกไป! .. วันนั้นนาย B อยู่กับนาย A อย่างแน่นอน ผมเห็นไม่ผิดแน่ และไม่มีทางที่นาย A จะวางคันเบ็ดหรือเหยื่อล่อที่นาย A หวงแหนมากไว้ไกลตัว เพราะนั่นเป็นของที่เขาซื้อมาจากเงินของขวัญปีใหม่
หลังจากนั้น ผมก็ไปเรียนต่อโรงเรียนมัธยมต้น ซึ่งแตกต่างจากเด็กส่วนใหญ่ในชั้นเรียน
และต้องย้ายไปจังหวัดอื่นในฤดูใบไม้ร่วงต่อมา ทำให้ผมเหินห่างจากเพื่อนร่วมชั้นในโรงเรียนประถมมานานกว่า 20 ปี แต่ผมบังเอิญเจอเพื่อนร่วมชั้นประถมศึกษาคนหนึ่ง และผมก็เริ่มติดต่อกันจากที่นั่น จากนั้นผมก็ตัดสินใจเข้าร่วมสมาคมศิษย์เก่าของโรงเรียน
ที่สมาคมศิษย์เก่า ยังมีการพูดถึงเรื่องนาย A ด้วย แม้ในตอนนั้นไม่มีใครที่รังแกผมด้วยกำลัง แต่ผมคิดว่าพวกเขาไม่รู้ว่ามันเป็นการกลั่นแกล้งรังแกในอีกแบบหนึ่ง ถ้าผมอยู่ในตำแหน่งเดียวกับพวกเขา ผมก็มีส่วนร่วมในการกลั่นแกล้งเพื่อนได้เช่นกัน ผมจึงเข้าใจและไม่มีความปรารถนาที่จะตำหนิพวกเขาเลย
ผมไม่พบนาย B ที่สมาคมศิษย์เก่า
และดูเหมือนว่าเขาไม่เคยเข้าร่วมสมาคมศิษย์เก่าของโรงเรียนประถมเลย ถ้าผมได้เจอนาย B อีก ผมอยากรู้ความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาย A ในวันนั้น? มันเป็นอุบัติเหตุจริงๆ ใช่ไหม ? ไม่ใช่ฆาตกรรม?
นั่นคือความเสียใจเพียงอย่างเดียวของผม
อืมม จบยังไง!
ท้ายที่สุด พระเจ้ากำลังมองดูดวงตาที่เจ็บปวด
ที่ผมโพสต์เล่าประสบการณ์ก็ยังได้ยินคำพูดจากนาย B ที่ทำให้รู้สึกว่าจิตใจมนุษย์มันน่ากลัวเหลือเกิน ตอนนั้นผมบอกครูและพ่อแม่เกี่ยวกับสถานที่และเวลาที่ผมเห็นนาย A และนาย B และดูเหมือนว่านาย B ก็รู้ว่าตัว เขาบอกผมว่า “ถ้ากูถูกจับได้ กูจะฆ่ามึงด้วย”
ผมไม่ต้องการที่จะรังแกตัวเองอีกต่อไป
ผมเพียงต้องการรู้ความจริงอย่างหมดจด
นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ผมเสียใจ เฉพาะเบ็ดตกปลาที่นาย A หวงแหนที่หาอย่างไรก็หาไม่พบ ผมค้นหาทุกอย่างด้วยตัวเอง ของที่เจอส่วนใหญ่อยู่ใกล้สถานที่ที่พบจักรยานของนาย A ผมเจออุปกรณ์ตกปลา เหยื่อล่อ แม้แต่ตอนนี้ เมื่อผมกลับบ้าน ผมก็ไปเยี่ยมหลุมศพของนาย A หน้าหลุมศพ ผมยังขอโทษเขาเสมอ “ผมขอโทษที่หาคันเบ็ดตกปลาตัวโปรดของนายไม่เจอ”.. (จบ)
น่าสะเทือนใจนะครับ อย่างไรก็ตาม อยากให้ทุกคนรักษาสุขภาพและดูแลความปลอดภัยกันครับ วันนี้สวัสดีครับ