เจริญพรสาธุชนชาวไทยมีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา ความศรัทธา… เป็นคุณธรรมที่ยิ่งใหญ่ในการดำเนินไปของชีวิต ที่ต้องผ่านกระแสโลกียธรรมมากมาย ยากนักที่จะคงความศรัทธาให้มั่นคง ไม่หวั่นไหวได้
ความศรัทธา จึงต้องมีอาหาร.. มีน้ำเลี้ยง เพื่อไม่ให้ความศรัทธา เหือดแห้งหมดสิ้นไป นั่นก็คือ ปัญญา..
ปัญญา จึงเป็นอาหารชั้นเยี่ยม ที่จะก่อให้ความศรัทธาเจริญเติบโตมั่นคงไปบนกระแสความเปลี่ยนแปลงในทุกขณะของ โลกียธรรม
ในขณะเดียวกัน.. ปัญญา.. ก็มีความศรัทธาเป็นน้ำเลี้ยง.. เป็นอาหารให้ปัญญามีการปรากฏสืบเนื่องเติบใหญ่มั่นคง ไปบนกระแสทำนองเดียวกัน…
เรียกได้ว่า ต่างฝ่ายต่างก็เป็นอาหารให้ซึ่งกันและกัน อันสะท้อนความจริงในโลกนี้ว่า.. ไม่มีกระแสธรรม.. เกิดขึ้น สืบเนื่องเป็นไปได้โดยลำพัง …ต่างต้องอิงอาศัยซึ่งกันและกัน เพื่อสืบเนื่องก่อรูปเป็นกระแสธรรมไป.. โดยเรียกความเกาะเกี่ยวอิงอาศัยกันและกันว่า.. เหตุปัจจัย ของกระแสธรรมนั้นๆ…
คำตอบของโลกียธรรม.. ที่กำลังดำเนินไปตามกระแส.. จึงสรุปรวบยอดลงที่… ความเป็นเหตุเป็นปัจจัย.. ที่เรียกว่า.. “เหตุ ปัจจะโย..” แปลว่า…
..ทุกอย่างกำลังดำเนินไปตามเหตุปัจจัยอยู่เนืองนิตย์ สิ่งเหล่านั้นได้แก่… สภาวธรรมทั้งหลายในโลกนี้!!
การศึกษา วิเคราะห์ วิจัย.. ให้เห็น.. ให้รู้ ถึงเหตุปัจจัยของเรื่องนั้นๆ.. ของสภาวธรรมนั้น จึงเป็นหัวใจสำคัญของ หลักการศึกษาวิถีพุทธ ที่เรียกว่า “วิธีการแห่งปัญญา หรือ โยนิโสมนสิการ”
กระบวนการวิธีคิดพิจารณาโดยแยบคาย สืบสาว สอบสวน หาเหตุ..หาผล ว่า.. สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร…. อะไรทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น ที่เรียกว่า วิธีคิดแบบอิทัปปัจจยตา นับเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ทั้งนี้ โดยจะต้องยึดมั่นในหลักอย่าเพิ่งเชื่อ ตราบที่ยังไม่ได้ศึกษาพิจารณาโดยแยบคาย
ครั้งหนึ่ง.. มีข่าวเกิดขึ้นวุ่นวายมากมายหลายกระแสในบ้านเมืองของเรา.. จนกระแสสังคมเริ่มปั่นป่วนกับอิทธิพล Social Media
ในครั้งนั้น อาตมภาพ… บุคคลระดับสูงท่านหนึ่งในสังคม ได้ขออาราธนาให้ช่วยเทศนาอบรมสั่งสอนประชาชน ให้เข้าใจในเรื่อง “อย่าเพิ่งด่วนใจเชื่อ.. หากยังไม่พิจารณาโดยแยบคาย” ตามหลักธรรมในกาลามสูตร.. ที่สรุปคำสอนว่า
“อย่าเชื่อใคร แม้แต่ตัวเอง
…แต่ให้ เชื่อความจริงที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติ จนเห็นผลอย่างชัดเจน ด้วยตนเองแล้ว
เท่านั้น..
..โดยยึดหลัก พึ่งตน-พึ่งธรรม เป็นสำคัญ”
เรื่องราวในพระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตตนิคม แคว้นโกศล
โดยทรงแสดงหลักธรรมคำสั่งสอนให้หมู่ชนชาวกาลามะ.. พุทธศาสนิกชนไม่ให้เชื่อสิ่งใดๆ อย่างงมงาย โดยไม่ใช้ปัญญา พิจารณาให้เห็นจริง ถึงคุณโทษ หรือดี ไม่ดี ก่อนเชื่อ ซึ่งมีหลักพิจารณาอยู่ ๑๐ ประการ คือ
๑.อย่าเพิ่งเชื่อ เพียงแค่ฟังตามๆ กันมา.. เขาว่ามา.. เขาพูดมา..
ถ้าเพียงอ้างแค่ว่า เขา.. อย่าได้เชื่อ เพราะพวกมีเขานี้พูดไม่รู้เรื่อง.. ชอบแทะเล็มกินหญ้าตามชายทุ่ง…
๒.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถือปฏิบัติสืบกันมา.. จนสืบหาเหตุผลไม่ได้ว่า.. ทำไปทำไม.. ทำแล้วได้อะไร ไอ้เรื่องทำตามๆ กันไป.. นี่สังคมเอเชียนิยมยิ่งในกลุ่มคนในท้องถิ่นนั้น…
ในข้อที่ ๒ ก็คงเข้าทำนอง เรื่อง เถรส่องบาตร ที่เห็นพระผู้เฒ่า ยกบาตรขึ้นส่องดู.. พระลูกศิษย์ทั้งหลายก็ยกบาตรขึ้นส่องดูบ้าง โดยไม่รู้ว่าดูไปทำไม… เรียกว่าไปยึดถือกิริยาภายนอก โดยไม่ใส่ใจว่า การกระทำนั้น ทำไปทำไม.. ได้อะไร?
๓.อย่าปลงใจเชื่อตามกระแสข่าวเล่าลือ.. หรือตามที่คนส่วนใหญ่เขาเชื่อกัน…
๔.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะผู้พูดอ้างตำรับตำรา หรือกล่าวว่ามีอยู่ในคัมภีร์… หมายถึง อย่าได้ยึดเอา คัมภีร์เป็นพระเจ้า เพราะแท้จริงก็เกิดจากการสร้างของคนเรานั้นเอง…
๕.อย่าปลงใจเชื่อเพราะตรรกะ.. เพียงแค่อ้างว่า เป็นเหตุเป็นผลแบบโลกนิยม
๖.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมาน หมายถึง การคาดเดาเอาตามความรู้สึกของตน.. ซึ่งแพร่ระบาดมากในโลกของคนช่างจินตนาการ.. ที่มักจะเอาเรื่องโน้นมาติดกับเรื่องนี้ เอาเรื่องนี้ไปต่อกับเรื่องนั้น จนพวกหัวมังกุท้ายมังกร… แยกไม่ออกว่า จริงๆ แล้ว มันเป็นอย่างไร
พวกนี้ มักจะสร้างคำเล่นสำนวน ค้าขายศัพท์.. จนยากจะเข้าใจ…
หลวงพ่อสรวง วัดถ้ำขวัญเมือง เคยพูดถึงเรื่องนี้ว่า “การพูดจนคนฟังไม่เข้าใจ.. เรียกว่า ปรัชญาของชาวโลก”
๗.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเพียงแค่ตรึกตรองตามได้ จนทึกทักคิดเอาเองตามที่เห็นว่า.. ที่แสดงออกมานั้นน่าจะเป็นไปได้ เป็นพวกเชื่อหูเชื่อตาของตนเองเป็นสำคัญ จนกล่าวอ้างไปทั่วว่า “เห็นมาอย่างนี้.. ได้ยินมาอย่างนี้” … เพื่อคนหลงเชื่อตามโดยคาดการณ์คำนึงพิจารณาให้ถึงความเป็นจริงที่ว่า
“..ที่เห็น ..ที่ได้ยินนั้น .. จริง!
… แต่สิ่งที่เห็น.. สิ่งที่ได้ยินนั้น .. ไม่จริง!”
๘.อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีที่ตนเชื่อ.. หรือตรงตามทิฏฐิความเห็นของตน ตามอคติในใจตน
พวกแบบนี้ ต้องระวัง.. เพราะเป็นพวก อัตตาธิปไตย เอาตนเองเป็นใหญ่ .. เป็นเลิศประเสริฐกว่าใครๆ ในโลกหล้า เรียกว่า หากผิดไปจากความคิดของตนนั้น.. ย่อมผิดหมด ยอมรับไม่ได้ พวกนี้เป็นพวก ชอบโต้เถียงเอาหัวชนฝา ตามสำนวนโบราณว่ามา จะไม่ยอมรับใครเลย หากไม่ตรงใจตนเอง.. พูดได้อ้างได้ร้อยแปดพันประการ เพื่อการเอาชนะคะคาน.. หากไม่ลงให้กับตน…
เมื่อก่อน มีลุงคนหนึ่ง.. แกชอบดื่มเหล้าจีน เมาได้ทั้งวัน ใบหน้าแดงก่ำตลอดเวลา ด้วยเป็นคนจีน ผิวออกจะขาว.. จึงถูกโฉลกกับเหล้าจีนดีกรีแรงชื่อดังในท้องถิ่น ที่คอเหล้านิยมดื่มกันในยุค ๔๐-๕๐ ปีที่ผ่านมา
วันๆ จะได้ยินเสียงแกพูดคุยโต้เถียงกับทุกคนในร้านเหล้า.. หากไม่เห็นตามแก..
เรียกว่า.. หากไปโต้เถียงกับแกย่อมเสียคนเอาง่ายๆ ..เพราะทิฏฐิแกแข็งแรงมาก โดยเฉพาะเมื่อได้น้ำทิพย์ชโลมสิ้นด้วยดีกรีแรงๆ… แกจะมีอิทธิฤทธิ์โต้เถียงได้ตั้งแต่เช้าจรดเย็น.. เย็นจรดค่ำ.. จนกว่าร้านจะปิด เจ้าของร้านจะไล่.. จึงค่อยๆ เดินโซซัดโซเซกลับกันไป…
สำหรับในข้อที่ ๙.นี้สำคัญมาก.. ในสังคมวัตถุนิยมปัจจุบัน คือ การอย่าปลงใจเชื่อ.. อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะไอ้หมอนี่ดูท่าทางน่าเชื่อถือ หรือมาจากองค์กร สมาคม สังกัด ยศถาบรรดาศักดิ์ ฐานะโอกาส ชื่อตระกูล ชาติน่าเชื่อถือ..
ฉิบหายกันมามากแล้ว ดังแชร์ลูกโซ่ทั้งหลาย ที่ไม่เคยสูญหายไปจากสังคมไทย
“แม้จะถูกหลอก ก็ยินดีให้หลอก….”
แค่เพียงเพราะชอบใจ เชื่อใจคนนี้ ด้วยน่าเชื่อถือ.. เป็นผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรง.. อันควรแก่การน้อมรับ…
และข้อที่ ๑๐. ข้อนี้เป็นหัวใจของพุทธศาสนาเลยก็ว่าได้.. แม้เพราะคนนั้นเป็นครูบาอาจารย์ของเรา เพราะเราเคารพนับถือ.. เป็นสมณะ.. เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ.. เป็นถึงศาสดาของเรา.. ก็กรุณาอย่าเพิ่งเชื่อ
รับฟังได้.. แล้วช่วยนำไปคิดพิจารณาให้เข้าใจ
เมื่อใดสอบสวน จนรู้ได้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นอกุศล หรือมีโทษ…
เมื่อนั้น พึงละเสีย
และเมื่อใด.. สอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านั้น เป็นกุศล.. ไม่มีโทษ
เมื่อนั้น ควรน้อมรับ นำมาถือปฏิบัติ…
ทั้ง ๑๐ ประการของหลักการพิจารณาก่อนจะปลงใจเชื่อ.. สำคัญอย่างยิ่ง คือ การมีสติปัญญา เป็นเครื่องมือในการพิจารณาโดยละเอียดแยบคาย
หลักธรรมทั้ง ๑๐ จะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลยในสังคมที่ประชาคมขาดสติ….
ดังนั้น ในยามที่บ้านเมืองกำลังซึมเศร้า.. ประชาชนพากันห่วงใย ในพระอาการประชวรใน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา… สิ่งสำคัญยิ่งนี้ของทุกคนในสังคมยามนี้.. คือ การดำรงอยู่อย่างมี “สติปัญญา”
เราไม่มีหน้าที่แก้.. ก็อย่าได้ไปเกะกะสร้างปัญหาโดยไม่รู้ตัว.. ปล่อยให้นักการแพทย์ที่เขาต้องมีหน้าที่รับผิดชอบ ว่ากันไป… ตามวิชาชีพของเขา
ส่วนพวกเรา พึงตั้งสติ.. สงบใจ สงบปาก สงบคำ… คอยติดตามข่าวสารจากแถลงการณ์สำนักพระราชวัง… น่าจะดีที่สุด.. และพึงพร้อมใจช่วยกันสวดมนต์ไหว้พระภาวนา ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระองค์ท่าน เพื่อขออัญเชิญอำนาจธรรมคุ้มครอง ปกปักรักษา พระองค์ท่าน ตลอดจนสถาบันกษัตริย์ ให้ดำรงมั่นคงสืบไปบนแผ่นดินไทย… เพื่อเป็นที่พึ่งของประชาชนชาวไทยสืบไป… น่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดในยามนี้!! … หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ญาติโยมทั้งหลายคงเข้าใจ… ส่วนที่ไม่ใช่ญาติโยมก็ควรเข้าใจเช่นเดียวกัน… เพื่อความสงบสุขของสังคมเราเอง!!.
เจริญพร
[email protected]