จากกรณีเด็กนักเรียนถ่ายคลิปครูสาวโรงเรียนดังใน กทม. กำลังสอนวิชาสังคมศึกษา แต่กลับใช้คำพูดพาดพิงในลักษณะบูลลี่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสม
ล่าสุด ครูสาวรายนี้ ได้ทำหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีคลิปวีดีโอเผยแพร่การจัดการเรียนการสอน รายวิชา สังคมศึกษา 2 ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/12
เรียน ผู้อำนวยการโรงเรียน… ข้าพเจ้า…ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ได้รับมอบหมายให้จัดการเรียนการสอนในรายวิชาสังคมศึกษา 2 ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/12 ในวันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2565 คาบเรียนที่ 2 ข้าพเจ้าได้ดำเนินการสอนในเนื้อหา หน่วยที่ 2 เรื่องการปกครองระบอบเผด็จการ ซึ่งมีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามแผนการเรียนรู้นั้น เมื่อสอนเนื้อหาจบจึงมีเวลาเหลือ ข้าพเจ้าจึงมีการเล่าที่เรื่องเกิดขึ้นดังเหตุการณ์ที่ปรากฏในคลิปวีดีโอ ซึ่งวัตถุประสงค์แท้จริงของการสอนเพื่อให้นักเรียนเข้าใจในเนื้อหาและกระบวนการปกครองของระบอบเผด็จการ โดยผู้สอนลืมคำนึงถึงขอบเขตของหลักสูตรแกนกลางของกระทรวงศึกษาธิการ จึงนำแนวคิดและเนื้อหาเสริมจากที่ได้ร่ำเรียนมาสอนเพิ่มเติมให้กับนักเรียน โดยมิได้มีเจตนาในการดูหมิ่นหรืออาฆาตมาดร้าย เพียงแต่เพื่อความรู้ความเข้าใจในระบอบการปกครองรูปแบบนี้มากยิ่งขึ้น
ซึ่งหลังจากที่ได้ดำเนินการจัดการเรียนการสอนเสร็จ ผู้สอนตระหนักได้ถึงการเพิ่มเติมสิ่งเหล่านั้นให้กับนักเรียน ซึ่งอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งได้โดยมิตั้งใจ และผู้สอนมีความตั้งใจจะปรับปรุงการสอนให้เหมาะสมกับหลักสูตรแกนกลางของกระทรวงศึกษาธิการและองค์ความรู้ที่เหมาะสมกับนักเรียนให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้นักเรียนเป็นพลเมืองที่ดีของสังคมโลกต่อไป จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ
เอาล่ะ เรามาวิเคราะห์เรื่องนี้กันครับ
1) หากจะวิเคราะห์เรื่องนี้ ต้องเริ่มที่ข้อเท็จจริงเสียก่อน (ซึ่งเข้าใจว่า มันเป็นคำพูดที่หลายคนเลี่ยงที่จะกล่าวถึง เพราะมันไม่เหมาะสม) คือ “ครูเพ็ญภาส” ระบุในห้องเรียนที่ปรากฏในคลิปว่า พล.อ.เปรม ที่เธอเรียก “เปรม” เฉยๆ นั้น“เป็นตุ๊ด” และ “แต่สำคัญคือ การเอาทหารหนุ่ม คือ เด็กๆเข้าไปเป็นคนสนิทตัวเองเยอะมาก ซึ่งเขาไม่เต็มใจก็มี แต่ก็ต้องเข้าไปเพราะว่าอีตาเนี่ยมันมีอำนาจ นี่แหละความน่ารังเกียจ แล้วพอเปรมตายปุ๊บ ทางการหรือว่าทางรัฐได้สั่งให้มีการรื้อบ้านสี่เสาเทเวศร์ ซึ่งตอนนี้ไม่มีแล้ว เหมือนเป็นฮาเร็มของเปรมเลยจริงๆ นะคะ”
2) ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า ควรเปิดโอกาสให้คุณครูเพ็ญภาส ได้อธิบายถึงแหล่งที่มาของข้อมูลที่เธอกล่าวถึง พลเอกเปรมติณสูลานนท์ ตามที่คุณครูได้ทำหนังสือชี้แจงว่า ได้กล่าวไปตามที่ได้ร่ำเรียนมา ดังประเด็นต่อไปนี้
1.พลเอกเปรม เป็นเผด็จการ?
2.เพศสภาพของพลเอกเปรม (ตามที่คุณครูกล่าว) ?
3.การใช้อำนาจในตำแหน่ง ในการตอบสนองความต้องการในข้อ 2 จนคุณครูเรียกบ้านพักของพลเอกเปรมว่าเป็น ฮาเร็ม?
เราควรให้โอกาสคุณครู ก่อนตัดสินอะไรไปล่วงหน้า เป็นไปได้ว่า ข้อมูลที่คุณครูได้มาจากการศึกษาของท่าน เป็นเช่นนั้นจริงๆ ถ้าเป็นเช่นนั้น เราก็ควรตรวจสอบทางวิชาการว่า ข้อมูลนั้นอ้างอิงถูกต้องเพียงใด
2) ผมเห็นด้วยกับอาจารย์ไชยันต์ว่า เราจะหอบหิ้วพาครูคนนี้ข้ามพ้นหรือทำเป็นลืม “ความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เธอกล่าวไปโดยไม่อ้างอิงข้อเท็จจริงหรือแหล่งที่มา” ไม่ได้
เพราะห้องเรียนเป็นเรื่องของ “วิชาการ” วิชาการที่ดีต้องเริ่มต้นที่ข้อเท็จจริง แล้วค่อยตามมาด้วยการวิเคราะห์ ไม่ใช่ “สนุกปาก” กับ “ข่าวก๊อซซิป” ซึ่งเป็นกระบวนการ
ให้ความรู้ “ชั้นต่ำ” เป็นนักวิชาการชั้นต่ำ คือ ต่ำกว่ามาตรฐานของหลักวิชาการ และต่ำกว่ามาตรฐานของ “มนุษยธรรม”
3) นักเรียนควรได้รับการปลูกฝังให้เคารพศักดิ์ความเป็นมนุษย์ โดยไม่รังเกียจเดียดฉันท์หรือหยามหมิ่นเพศสภาพของบุคคล สีผิว เชื้อชาติ ศาสนา ฯลฯ ที่มีนัย
เชิง “เหยียด” หรือ “ด้อยค่าความเป็นมนุษย์”
4) นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า เมื่อครูสอนให้เด็กบูลลี่ (Bully) คนอื่น [ หมายเหตุ : บูลลี่(Bully) หมายความว่า :ให้ร้าย,เยาะเย้ย,ทำให้ผู้อื่นเจ็บปวดทางกายหรือใจ]
ในทางทฤษฎีการเมือง มีคำถามว่า “ประชาธิปไตยในโรงเรียนมีหรือไม่” นักรัฐศาสตร์ฝ่ายหนึ่งบอกว่า ไม่มีหรอก อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่ามี แต่ส่วนใหญ่รับกันว่า ในโรงเรียนไม่มีประชาธิปไตยจริงๆหรอก แต่โลกสมัยใหม่จะมีการทดลองให้นักเรียนฝึกวัฒนธรรมประชาธิปไตยบางอย่างภายใต้กฎกติกาเท่านั้น ไม่ถือว่าเป็นประชาธิปไตย 100%
ครูสอนให้นักเรียนบูลลี่ (Bully) คนอื่น นั่นก็ผิดมหันต์แล้ว ไม่ใช่เสรีภาพในการแสดงความเห็น หรือเสรีภาพในการสอนหรอก ถ้าครูเริ่มต้นสอนอย่างนี้ลองนึกดูว่า โตขึ้นเด็กจะเป็นอย่างไร สังคมจะเป็นอย่างไร นึกขึ้นมาก็ขนหัวลุกแล้ว สังคมนี้จะน่าอยู่ได้อย่างไร
ครู เป็นผู้ยกระดับวิญญาณของมนุษย์ให้รู้จักผิดชอบชั่ว-ดี การที่ครูสอนให้เด็กบูลลี่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี,อดีตประธานองคมนตรี ครูคนนั้นหลุดจากสถานะผู้ยกระดับจิตวิญญาณของมนุษย์ไปแล้ว ไม่อาจเรียกว่าครูได้เลย หากแต่เป็นอาชญากร ผู้ประกอบอาชญากรรมไปแล้ว
ผมฟังคำชี้แจงของครูคนนั้นแล้ว ยิ่งเห็นความมืดบอดทางจิตวิญญาณของครูคนนั้น
ผมได้แต่ภาวนาว่า ขอให้ประเทศนี้ มีครูแบบนี้เพียงคนเดียวเถอะ
ผมเคารพศรัทธาพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ แม้ท่านจะถึงแก่อนิจกรรมไปแล้ว หากเห็นว่าสิ่งไหนไม่ถูกต้อง ผมผู้อยู่หลังก็ยังปกป้องเกียรติยศของท่าน
หากครูพิสูจน์สิ่งที่ตนพูดไม่ได้ ก็เข้าสู่กระบวนการทางวินัย และกฎหมายเถอะครับคุณครู ผมจะติดตามเรื่องนี้
5) สิ่งที่นายนิพิฏฐ์กล่าวว่า ครูคนนั้นหลุดจากสถานะผู้ยกระดับจิตวิญญาณของมนุษย์ไปแล้ว ไม่อาจเรียกว่าครูได้เลย หากแต่เป็นอาชญากร ผู้ประกอบอาชญากรรมไปแล้ว ก็คือ ครูได้ทำผิดกฎหมายอาญา มาตรา 327
“ผู้ใดใส่ความผู้ตายต่อบุคคลที่สาม ละการใส่ความนั้น น่าจะเป็นเหตุให้บิดา มาราดา คู่สมรส หรือบุตรของผู้ตาย เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำ
ความผิดฐานหมิ่นประมาท”
6) โชคดีว่า บิดามารดาของ พล.อ.เปรมท่าน ไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ไม่มีคู่สมรส และไม่มีบุตร แต่ท่านก็เป็นที่เคารพรักของคนในสังคม จึงเกิดปรากฏการณ์ “สังคมตำหนิ”
และต้องการให้ระบบ คือ โรงเรียน สำนักงานการศึกษา กรุงเทพมหานคร และกระทรวงศึกษาธิการ ไล่ไปโดยลำดับใช้ระเบียบกฎเกณฑ์ที่มี จัดการ” กับพฤติการณ์นี้ ซึ่งเป็นการรักษามาตรฐานทางวิชาการ การจัดการเรียนการสอนและมาตรฐานแห่ง “จรรยาบรรณในวิชาชีพ” ตลอดจน“มนุษยธรรม” ซึ่งแปลว่า ธรรมะของมนุษย์ ไม่ใช่“การล่าแม่มด” อย่างที่พรรคก้าวไกลมีแถลงการณ์ “ปกป้องคนผิด” ซึ่งสำหรับผม นับเป็น “พรรคการเมือง” ที่ไร้ความสามารถในการแยกแยะถูกผิดดีชั่ว และไม่ปกป้องหลักการสำคัญของสังคม
7) เพจเฟซบุ๊ก พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความว่ากรณีครูพูดถึง พล.อ.เปรมในชั้นเรียน ต้องทำความเข้าใจเรื่องความหลากหลายทางเพศ ไม่ใช่ล่าแม่มดเพื่อกำจัดคนคิดต่าง
จากกรณีที่มีครูท่านหนึ่งพูดถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ในชั้นเรียนในฐานะตัวอย่างเมื่อพูดถึงการปกครองในระบอบอำนาจนิยมและมีการพาดพิงถึงประเด็นเพศวิถี พรรคก้าวไกลเห็นว่า สิ่งที่ครูท่านนั้นตั้งข้อสังเกต ทั้งเรื่องเพศและเรื่องข้อเท็จจริง ต้องพูดด้วยท่าทีที่ระมัดระวังและตระหนักถึงการเคารพความหลากหลายทางเพศมากกว่านี้ แต่เราไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของนายกรัฐมนตรี การกระทำของผู้ช่วยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และการล่าแม่มดโดยขบวนการจัดตั้งของสื่อฝ่ายอนุรักษ์นิยม ที่กดดันให้มีการลงโทษครูท่านนั้นอย่างไม่เป็นธรรม
จริงอยู่ว่าการพูดถึง พล.อ.เปรม ในลักษณะมีอคติทางเพศเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง แต่การแก้ปัญหาของกรณีนี้ควรเป็นการตักเตือน และอบรมทัศนคติครูเรื่องการเข้าใจความหลากหลายทางเพศ ไม่ใช่ดำเนินการทางนิติสงคราม ทั้งทางกฎหมายและทางวินัย รวมทั้งใช้การกดดันทางสังคมอย่างการล่าแม่มด
การที่มวลชนและสื่ออนุรักษ์นิยม หยิบยกกรณีนี้ขึ้นมาล่าแม่มดครูท่านนี้ เป็นเพราะต้องการให้ชั้นเรียนตระหนักถึงความเข้าใจความหลากหลายทางเพศ และตระหนักถึงปัญหาการบูลลี่ หรือเป็นไปเพื่อปิดปากทุกคนที่เห็นต่างจากตนเองด้วยการกดดันให้ใช้กลไกอำนาจรัฐเข้าเล่นงานกันแน่
ถ้าผู้ที่ออกมาโจมตีครูท่านนี้เห็นความสำคัญของการพิสูจน์ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ สิ่งที่เราควรส่งเสริมคือการเปิดให้ห้องเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัย มีการถกเถียงแลกเปลี่ยนข้อมูลกันทุกด้านและหักล้างกันด้วยเหตุผล ไม่ใช่การใช้อำนาจปิดปาก สร้างความกลัว และสถาปนาความจริงเพียงด้านเดียวในแบบที่ผู้มีอำนาจต้องการให้เชื่อ
การที่ พล.อ.ประยุทธ์ สั่งการให้มีการดำเนินคดีด้วยเหตุผลปลุกปั่นสร้างความแตกแยก เราอยากถามกลับไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ ว่าใครกันแน่ที่กำลังสร้างความแตกแยก ระหว่างครูคนหนึ่งที่สอนในชั้นเรียนกับสื่อและมวลชนที่ทำการล่าแม่มด เคลื่อนไหวกดดันให้ประเด็นนี้กลายเป็นประเด็นทางการเมือง
เราเชื่อว่าการทำให้การศึกษาไทยมีอนาคต ต้องทำความเข้าใจเรื่องความหลากหลายทางเพศ ควบคู่กับการสอนประวัติศาสตร์ที่สร้างการถกเถียงไม่ใช่รับข้อมูลข้างเดียว แต่การล่าแม่มด กำจัดผู้เห็นต่างที่มีความเชื่อต่างจากตัวเอง และใช้อำนาจเข้าข่มขู่คุกคามมากกว่าความเป็นจริง สิ่งเหล่านี้จะยิ่งปลูกฝังวัฒนธรรมอำนาจนิยมในโรงเรียน และจะยิ่งทำให้การศึกษาของชาติล้าหลัง ไม่ทันโลก
ถ้านายกรัฐมนตรีและผู้ที่มีอำนาจในประเทศนี้ ให้ความสำคัญกับการปฏิรูปการศึกษาด้านอื่นๆ ในระดับเดียวกันกับการล่าแม่มดครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็น สิทธิเสรีภาพในสถานศึกษา, การต่อต้านการบูลลี่รังแกกัน, ทำความเข้าใจเรื่องความหลากหลายทางเพศ, ทำความเข้าใจเรื่องการเคารพสิทธิเหนือชีวิตและร่างกายของนักเรียน, ปฏิรูปชั้นเรียนและหลักสูตรให้ก้าวหน้าสร้างสรรค์ มีเสรีภาพในการพูดและปลอดภัย, ลดภาระงานที่ไม่จำเป็นของครูผู้สอน,คิดหาวิธีการเพิ่มทรัพยากรสนับสนุนเด็กระดับประถมศึกษาและปฐมวัย, เปลี่ยนวิธีการประเมินวัดผลการศึกษา
เราเชื่อว่าการศึกษาไทยจะต้องพัฒนามากกว่าที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้อย่างแน่นอน
8) ผมพอจะกล่าวได้ไหมว่า “สันดานของพรรคก้าวไกล”เป็นอย่างนี้ เอะอะก็แบกหามคำว่า “นิติสงคราม” ขึ้นมาใช้อย่างส่งเดชและพร่ำเพรื่อ เด็กถูกยั่วให้มีพฤติกรรมคำพูดดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ก็แบกหามคำว่า “นิติสงคราม” มาให้ แทนที่จะสนับสนุนให้กฎหมายได้พิสูจน์ความถูกผิด และสอนให้คนเคารพกฎเกณฑ์ของบ้านเมือง สังคม เพื่อความสงบเรียบร้อยในการอยู่ร่วมกัน
คนเราคิดต่าง เห็นต่างกันได้ แต่บิดเบือนข้อเท็จจริงไม่ได้ หรือใส่ความโดยไม่พิสูจน์ข้อเท็จจริงก็ไม่ได้ ผู้ใดถูกละเมิดหรือได้รับความเสียหาย กฎหมายต้องคุ้มครองเขา
ส่วนห้องเรียน ถือเป็นสถานที่ “ทางวิชาการ” จะพูดอะไร เม้าท์มอยหอยสังข์สนุกปากเรื่อยเปื่อยไม่ได้โดยเฉพาะจากปากของ “ครู” ซึ่งเป็น “วิชาชีพ” ที่มีหลักการ และกฎเกณฑ์อยู่อย่างชัดเจน ไม่คลุมเครือ
จึงเป็นหน้าที่ของครูที่ต้องรู้จักสำนึกและขอโทษสังคม
จึงเป็นหน้าที่ของโรงเรียนที่ต้องสอบข้อเท็จจริง และย้อนหลังไปถึงพฤติกรรมอื่นๆ ในชั้นเรียนก่อนหน้านี้ด้วย
และเป็นหน้าที่ของ “พรรคการเมืองที่ดี” ที่จะต้องสร้างบรรทัดฐานที่ถูกต้องให้แก่สังคม โดยไม่ยกเว้น หากเป็นพวกที่มี “รสนิยมทางการเมือง” สอดคล้องกับตนเอง โดยเฉพาะการมุ่งหาเสียง หาความนิยมชมชอบในช่วงใกล้การเลือกตั้ง โดยละทิ้งหลักการการเคารพกฎหมาย เคารพงานวิชาการ เคารพจรรยาบรรณในวิชาชีพ เคารพข้อเท็จจริง และเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
เป็นข้าราชการต้องถูกตรวจสอบ
การตรวจสอบไม่ใช่วาทกรรมมักง่ายเรื่อง“ล่าแม่มด”
แต่เป็นระเบียบของการรับราชการ
จะให้โรงเรียน กทม. กระทรวงศึกษาธิการ ทำตัวเป็นพรรคก้าวไกล ที่ สส.ไปฝักใฝ่พรรคการเมืองอื่นร่วมกิจกรรมกับพรรคการเมืองอื่น นั่งที่นั่งของพรรคการเมืองอื่นในสภา แล้วเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ ขังมันไว้ในพรรคไม่ขับออก ทั้งๆ ที่น่าจะเข้าข่าย “ขับออก” ได้ อันเป็นการละเว้นต่อหน้าที่และกฎเกณฑ์ที่มีต่อพรรค ต่อสมาชิกพรรคทั้งมวล อย่างนั้นหรือครับ
ต้องทำอย่างนั้น จึงจะเรียกว่า สุดยอดองค์กรประชาธิปไตย สุดยอดของผู้คุมกฎ สุดยอดของคนดี…ใช่ไหมครับ?