ช่วงสุดสัปดาห์นี้ อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญทางการเมืองที่สำคัญก็คือ การที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่จะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้เดินทางลงพื้นที่หาเสียงและขึ้นเวทีปราศรัยการเมืองในพื้นที่เลือกตั้งครั้งแรกที่จังหวัดชุมพร ที่ผ่านไปแล้วเมื่อวันเสาร์ที่ 28 มกราคมที่ผ่านมา และหลังจากนี้ คาดว่า พลเอกประยุทธ์ จะลงพื้นที่หาเสียงและขึ้นเวทีปราศรัยทางการเมืองอีกหลายครั้งตามมา ทำให้ทุกการขยับของพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นเรื่องต้องติดตามกันทางการเมือง
เมื่อเราได้ไปพูดคุยสนทนาการเมืองกับแกนนำ-คีย์แมนคนสำคัญของพรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อสอบถามถึงทิศทางพรรคต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร กับ “ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง-รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ”หรือ“ดร.ดร๊าฟ”เขายืนยันว่า พรรครวมไทยสร้างชาติพร้อมเต็มที่สำหรับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น และหลังจากจบจากการทำกิจกรรมการเมืองที่จังหวัดชุมพร ทางพรรค อาจจะเริ่มมีการทยอยเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครส.ส.เขตในแต่ละจังหวัดต่อไป เช่นพรรคอาจจะมาดูว่าจะเป็นพื้นที่กรุงเทพมหานครหรือไม่ เพราะทีมผู้สมัครส.ส.เขต กทม.ของพรรค ก็มีความพร้อม โดยผู้สมัครส.ส.เขตของรวมไทยสร้างชาติ จะมีทั้งคนรุ่นใหม่-คนรุ่นใหญ่ที่มีประสบการณ์ทางการเมือง
สำหรับ “ดวงฤทธิ์-รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ”ถือได้ว่าเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ ที่เข้ามาร่วมก่อตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติตั้งแต่แรกเริ่ม โดยที่ผ่านมาแวดวงการเมืองรู้จักได้ยินชื่อของเขามาระดับหนึ่ง เพราะผ่านตำแหน่งสำคัญในฝ่ายบริหารและในพรรคการเมืองก่อนหน้านี้มาแล้ว แต่บางคนอาจจะยังไม่รูัจักเส้นทางการเมืองของ”ดวงฤทธิ์“มากนัก ดังนั้น เราเลยเริ่มการพูดคุยกันถึงเส้นทางการเมืองก่อนจะมาร่วมก่อตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ
“ดวงฤทธิ์-รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ”เล่าให้ฟังว่า หลังจบปริญญาเอกด้านรัฐศาสตร์ จากนั้นเมื่อเข้าสู่การทำงาน ได้เริ่มจากการทำงานที่เป็นรากฐานของครอบครัวซึ่งได้วางรากฐานไว้ โดยครอบครัวเรียกได้ว่า เติบโตมาจาก SME ด้านการศึกษา โดยปัจจุบันทางครอบครัวทำงานและทำธุรกิจเกี่ยวกับด้านการศึกษา ตั้งแต่เตรียมอนุบาลถึงปริญญาเอก มีทั้งโรงเรียนสาธิต วิทยาลัยอาชีวศึกษา และมหาวิทยาลัย ผมก็เลยไปเริ่มต้นชีวิตการทำงานทางด้านการศึกษาก่อน โดยเริ่มตั้งแต่การแจกแผ่นพับใบปลิว เพราะสมัยก่อนเวลาโปรโมตสินค้าหรือแนะนำโรงเรียน ก็จะมีการแจกใบปลิว แล้วก็ไปเป็นพนักงานธุรการ แล้วก็มาเป็นครู
จากนั้นก็ค่อยๆขยับขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการ ตอนหลังก็มาเป็นคณบดีคณะรัฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี พอสานต่ออาชีพ-ธุรกิจหลักของครอบครัวได้มั่นคงแล้ว ผมก็เลยมาทำอาชีพที่รัก คือเรื่อง”กีฬา”ทำบริษัท ทำสโมสรกีฬา ที่ก็มีล้มลุกคลุกคลานบ้างเล็กน้อย
…ตอนผมทำบริษัทกีฬาแรกๆ ก็ขาดทุน มีล้มบ้าง แต่ก็ไม่เจ็บมาก เพราะเรามีธุรกิจหลักคอยซัพพอร์ตเราอยู่ ที่จากวันนั้นมาถึงวันนี้ ผมก็ทำเรื่องกีฬามาจนตอนนี้ ก็มีนักกีฬาทีมชาติที่อยู่ในสังกัดผม ก็ร้อยสี่สิบกว่าคน เพราะข้างในผมก็มีทั้งค่ายมวย มีทีมฟุตบอล มีศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬา ที่ปัจจุบันก็มาตรงกับเทรนด์ของคนที่นิยมการดูแลสุขภาพ เมื่อก่อนผมมีค่ายมวย ก็ส่งชกตามเวทีต่างๆ ก็ได้แชมป์บ้าง ไม่ได้แชมป์บ้าง แต่ตอนหลังเทรนด์ก็เปลี่ยนไปอีก กลายเป็นเรื่องของค่ายมวย ที่อยู่ในยิม คราวนี้ทำให้แทนที่ผมจะผลิตนักมวยไปต่อยเอาแชมป์อย่างเดียว ผมก็มาผลิตนักมวยที่ไปเป็น เทรนเนอร์ ซึ่งเทรนเนอร์ของทางผม จบปริญญาตรี ที่ส่วนใหญ่จะเรียนมาด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา การสื่อสารของเขาค่อนข้างมีวิธีการที่ดี เรียกได้ว่าครบวงจรของการทำเรื่องกีฬา แล้วก็ประสบความสำเร็จ
พอเราเริ่มโตขึ้น ได้เจอผู้คน ได้พบปะพูดคุยกันกับคนกลุ่มต่างๆ ในวงต่างๆ ซึ่งผมเป็นคนชอบทำงาน และที่บ้านผม พอมีพื้นฐานเรื่องการเมืองอยู่บ้าง ผมได้ทำการเช็คตัวเองว่าพร้อมหรือไม่ พอเช็คแล้วว่าเราพร้อม ก็ได้ไปปรึกษาคุณแม่ก็แจ้งกับท่านว่าผมต้องการทำเรื่องนี้ ซึ่งที่บ้านก็ให้การสนับสนุน
“ดวงฤทธิ์”เล่าต่อไปอีกว่า จากนั้น ผมก็เริ่มด้วยการสมัครเป็น สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์และลงสมัครส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 อันดับที่ 25 ซึ่งหากไม่ลาออกมาก่อน ก็ได้เป็นส.ส. โดยได้ลาออกจากประชาธิปัตย์ แล้วไปทำงานการเมืองที่พรรครวมพลังประชาชาติไทยหรือรปช. (ปัจจุบันคือพรรครวมพลัง)แล้วก็ไปเป็น กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน จากนั้นก็มาเป็นเลขาธิการพรรครปช. จากนั้น ก็มาเป็นเลขานุการรมว.อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และโฆษกกระทรวงอุดมศึกษาฯ
สมัยเข้าไปเริ่มงานการเมืองที่พรรคประชาธิปัตย์ ผมมีที่ปรึกษาใหญ่อยู่สองคน คือพี่ขิง เอกนัฎ พร้อมพันธุ์ และพี่เอ๋ อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ต่อมาเห็นพี่ๆ เพื่อนๆ มีความมุ่งมั่นที่จะทำพรรครวมไทยสร้างชาติ ผมเป็นคนไม่ซับซ้อน ผมดูว่าอุดมการณ์ตรงกัน และพี่ที่ผมจะมาร่วมงานกับเขา ไว้เนื้อเชื่อใจได้ ผมก็ตัดสินใจมาเลย
…การตัดสินใจ ก็ใช้เวลาไม่นาน เพราะเมื่อเห็นว่าอุดมการณ์การทำงานการเมืองตรงกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเรื่องที่พี่พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค ได้บอกกับผมว่า “พวกเรามา พวกเราจะไม่เล่นการเมือง แต่พวกเราจะมาทำงานการเมือง อันนี้ผมชอบ โดนเลย และพี่พีระพันธุ์ พี่ขิง เป็นนักการเมืองที่เราไว้เนื้อเชื่อใจได้ ผมก็ตัดสินใจมาเลย พอเริ่มจะมีการตั้งพรรคอย่างเป็นทางการ ผมก็ลาออกจากเลขานุการรมว.อุดมศึกษาฯ มาเป็นรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติในปัจจุบัน
รวมไทยสร้างชาติ ผสมผสาน
รุ่นใหม่-รุ่นใหญ่ ร่วมใจกันทำงาน
สำหรับการให้บทบาทและพื้นที่กับคนรุ่นใหม่ในพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น “ดวงฤทธิ์-รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ”ย้ำว่า เรื่องดังกล่าว เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมชอบพรรครวมไทยสร้างชาติ เพราะหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค และผู้บริหารพรรครวมไทยสร้างชาติทุกคน เรามีความเห็นตรงกันว่า ไม่ว่าเราจะเป็นคนรุ่นใหม่ หรือจะเป็นคนรุ่นใหญ่ ผมว่าเราใช้ความเชี่ยวชาญของแต่ละคน มาร่วมทีมกันเพื่อให้เป็นแบบ รวมไทยสร้างชาติได้ ในพรรคเรา หลายคนก็มาจากต่างพรรคการเมืองกัน บางคนมาจากพรรคการเมืองเดิมที่เป็นอีกฝั่งด้วยซ้ำ บางคนก็มาจากฝั่งเดียวกัน
..รวมไทยสร้างชาติ เรามีหลักการว่า เราเป็นรวมไทยสร้างชาติ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นใหม่ หรือคนรุ่นใหญ่ แต่ละคนมีความเชี่ยวชาญของแต่ละท่าน โดยผมเองแม้ผมจะมาจากนักธุรกิจ ภาคเอกชน แต่ต่อมาได้มีโอกาสมาทำงานภาครัฐ มาเป็นผู้บริหารภาครัฐ ผมก็คิดว่าเราต้องร่วมทีมกัน คือไม่ว่าจะรุ่นใหม่หรือรุ่นใหญ่ ถ้าเราร่วมทีมกัน รุ่นใหญ่ก็อยู่ในจุดที่ถูกต้อง รุ่นใหม่ก็อยู่ในจุดที่ถูกต้อง แล้วเราร่วมทีมกัน มันจะเป็นความบาลานซ์ของสังคม หลายเรื่องที่ผมประสบความสำเร็จมา ที่ผมทำได้สำเร็จ ก็เพราะการเชื่อมโยง ระหว่างรุ่นใหม่กับรุ่นใหญ่ แต่ถ้ารุ่นใหม่ ในความคิดผม จะทะเยอทะยานว่าฉันเป็นคนที่เก่งแค่รุ่นเดียว ผมว่าเราก็อาจขาดความประณีต ขาดความรอบคอบ ขาดความระมัดระวัง ขาดที่ปรึกษาที่ดีก็ได้
ส่วนรุ่นใหญ่เอง หากไม่มีรุ่นใหม่ ไว้ช่วยทำงาน เพราะท่านอาจเป็นรุ่นใหญ่แล้ว หากต้องลงมาทำงานทั้งหมด ผมว่าก็อาจได้เป้าหมายที่ไม่ได้ดีที่สุดก็ได้ แต่ถ้ารุ่นใหญ่และรุ่นใหม่ เรายอมรับความเก่ง ยอมรับความเชี่ยวชาญซึ่งกันและกัน ผมว่าเราร่วมกันพัฒนาสังคมได้ดี แต่อันดับแรกเราต้องยอมรับความเก่ง ความเชี่ยวชาญซึ่งกันและกันก่อน ซึ่งพรรคให้บทบาทความสำคัญกับนักการเมืองหน้าใหม่ คนรุ่นใหม่ แต่ก็มากเท่ากับรุ่นใหญ่ อย่างที่บอกคือ รุ่นใหม่กับรุ่นใหญ่ต้องไปด้วยกัน ต้องยอมรับความเก่งซึ่งกันและกัน เพราะถ้ารุ่นใหญ่ไม่ยอมรับความเก่งของคนรุ่นใหม่ ผมว่าคนรุ่นใหม่ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ไม่ได้ไปอยู่บนเวทีพรรค(ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ วันที่ 9 มกราคม 2566)ซึ่งเท่าที่ผมเห็นส่วนใหญ่ ก็จะโชว์คนรุ่นใหญ่ไปเลย หรือไม่ก็โชว์คนรุ่นใหม่ไปเลย แต่ที่พรรครวมไทยสร้างชาติมีการผสมผสาน แล้วก็ไม่ได้ผสมผสานเฉพาะฝั่งเราด้วย หลายๆ คนก็อาจมาจากฝั่งพรรคฝ่ายค้าน
“ดวงฤทธิ์ -รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ”กล่าวต่อไปว่า การที่พรรคชูพลเอกประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ผมชื่นชอบนายกรัฐมนตรี เพราะผมเชื่อว่าท่านเป็นคนดี ไม่โกงและทำอะไรทำจริง ส่วนหากมองในมุมผู้บริหารพรรค ผมว่ามันเป็นธรรมชาติทางการเมืองที่ต้องมีทั้งคนที่ชื่นชอบ และคนที่เฉยๆ และคนที่ไม่ชอบ มันเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่เมื่อ พลเอกประยุทธ์เข้ามาสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ในส่วนที่ผมสัมผัส คิดว่ามีคนชื่นชอบเยอะ และมีความมั่นใจ รู้สึกว่าพึ่งพาได้ ทั้งพลเอกประยุทธ์และรวมไทยสร้างชาติ บอกตรงๆนะจาก ที่ตอนแรกเขาอาจรู้สึกแกว่งๆหน่อย จะใช่หรือไม่ใช่ จะเชียร์ใครดี พรรคนี้ก็ชอบ คนนี้ก็รัก แต่พอมีความชัดเจน เขาก็ชัดเจนกับเรา โดยเฉพาะแฟนคลับ ก็ชัดเจนกับเรามากขึ้น
……สำหรับจุดแข็งหรือข้อแตกต่างที่พรรครวมไทยสร้างชาติแตกต่างจากพรรคการเมืองอื่นนั้น หากดูจากสโลนแกนพรรคที่ว่า “สู้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง“พูดง่ายๆว่า รวมไทยสร้างชาติจะเป็นที่พึ่งให้กับประชาชน สิ่งนี้ถือเป็นจุดแข็งของพรรคคือ เราทำ จริง นอกจากนี้ รวมไทยสร้างชาติ ไม่ได้ตั้งมาเพื่อจะสู้รบตบมือกับใคร ไม่ได้ตั้งมาเพื่อจะไปทะเลาะกับใคร แต่เรามารวมไทยสร้างชาติ ที่รวมทั้งรุ่นใหม่ -รุ่นใหญ่และรวมทุกฝั่ง วันที่พรรคจัดงานที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ หลายคนที่มาใส่เสื้อแดงมา หลายคนใส่เสื้อน้ำเงิน และมีอีกหลายคนเสื้อขาว บางคนเสื้อเหลือง ที่ผมว่าเป็นเรื่องดี เพราะโดยพื้นฐานที่ผมเป็นอาจารย์มาก่อน ทั้งตัวผม -ลูกศิษย์ เขาก็มีความคิด ความเห็น อุดมการณ์ที่แตกต่างกัน แต่เราก็อยู่กันได้ เพราะหากจะตั้งพรรคมาเพื่อทะเลาะกับใคร ผมก็คงรู้สึกไม่ดี แต่ทางพรรคเราคือรวมไทยสร้างชาติจริงๆ ไม่ใช่แค่วลีเด็ดหรือคำพูดหาเสียง
…อีกทั้ง รวมไทยสร้างชาติ มีจุดแข็งคือ ซื่อสัตย์สุจริต พรรคเราไม่โกง ที่ผมเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการพัฒนาประเทศชาติ อย่างตัวผมเอง ก็มีความมุ่งมั่นที่จะมาทำงานการเมือง โดยเมื่อเข้ามาร่วมทำงาน ได้สัมผัสถึงอุดมการณ์ แนวคิด วิธีการทำงาน ซึ่งปัจจุบันคนก็ดูกันออกได้ว่าแต่ละคนเป็นอย่างไร คนไหนโกงไม่โกง ซึ่งในพรรค อย่างคนหลักๆ ดูได้เลย คือไม่ทุจริต
“ดวงฤทธิ์-รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ“กล่าวต่อไปว่า สำหรับการที่พลเอกประยุทธ์ เข้ามาสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคจะเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เรื่องนี้ ต้องบอกว่า คนเราต้องชัด เมื่อเราชัด ประชาชนก็จะชัดกับเราเหมือนกัน อย่างตัวผมเอง หลายคนก่อนหน้านี้ก็ถาม ฝั่งเดียวกับพลเอกประยุทธ์หรือไม่ ใช่-ไม่ใช่ แต่เมื่อ มีความชัดเจนเกิดขึ้น หลายคนก็ชัดเจนกับเราเหมือนกัน เขาก็บอกแบบนี้ก็เชียร์พลเอกประยุทธ์ เชียร์รวมไทยสร้างชาติ หลายคนก็บอกว่าเหมาะแล้วที่พลเอกประยุทธ์มาที่ พรรครวมไทยสร้างชาติเพราะอุดมการณ์ตรงกัน มีสไตล์การทำงานใกล้เคียงกัน
สำหรับพลเอกประยุทธ์ในมุมมองผม สัมผัสแรกเลยคือท่านเป็นคนดี เป็นผู้บริหารประเทศที่ไม่โกง และหากจะบอกคนอื่น ก็อยากบอกว่าขอให้เปิดใจ อย่าตั้งธงว่า ฝ่ายตรงข้าม ต้องทะเลาะกันอย่างเดียว ขอให้เปิดใจเป็นกลาง โดยดูว่าที่พลเอกประยุทธ์ทำงานมา ทำเรื่องอะไรสำเร็จมาบ้าง ซึ่งมีหลายเรื่องที่นายกฯมุ่งมั่นและทำงานสำเร็จ มีผลงานหลายเรื่อง และเน้นประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง ในมุมของผม คิดว่าเราเลิกตั้งธงที่จะมาทะเลาะกันดีกว่า แต่เราเปิดใจให้กว้าง ใครทำอะไรที่เป็นเรื่องดีต่อสังคม ประเทศชาติ ก็ช่วยกันส่งเสริมสนับสนุน ช่วยกันทำ ส่วนอะไรที่ดูแล้วมันไม่ดี ก็ออกมาคัดค้าน
ส่วนเรื่องนโยบายพรรครวมไทยสร้างชาติ ยืนยันว่าเราให้ความสำคัญมากและพรรคทำงานอย่างละเอียด เพราะฉะนั้นเรื่องนโยบายพรรคที่จะประกาศออกมา จะครอบคลุมทุกด้านแน่นอน แต่นโยบายหลักๆ จะเป็นนโยบายที่ประชาชนได้รับประโยชน์ทางตรง เป็นนโยบายที่ช่วยเหลือดูแลประชาชน เป็นนโยบายที่สู้กับปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่องกับประชาชน แต่ขอให้รอการประกาศ ซึ่งทางหัวหน้าพรรค ได้ย้ำว่า จะเป็นนโยบายพรรคที่พรรคทำได้ และทำจริง พวกนโยบายขายฝัน หรือนโยบายเพื่อหาเสียง พรรคเราคุยกันตั้งแต่แรกแล้วว่า เรามาไม่ได้มาเพื่อเล่นการเมือง แต่เรามาเพื่อมาทำงานการเมือง
เมื่อถามถึงบทบาทของพลเอกประยุทธ์ในพรรครวมไทยสร้างชาติต่อจากนี้ จะเป็นอย่างไร “ดวงฤทธิ์ -รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ“บอกว่า ที่พรรครวมไทยสร้างชาติโดยพื้นฐานเราถืองานเป็นหลัก ไม่ได้ถือตำแหน่งเป็นหลัก ผมเป็นผู้บริหารพรรค รองหัวหน้าพรรค แต่บางทีมีอะไร โต๊ะ-เก้าอี้ ก็ช่วยกันขยับ เราถือว่าเราถนัดอะไร เชี่ยวชาญอะไร ก็ช่วยงานทางด้านนั้น ซึ่งความเป็นพรรครวมไทยสร้างชาติ เรื่องตำแหน่ง ไม่ใช่สาระสำคัญ แต่เป็นเรื่องที่ว่าท่านจะมาขับเคลื่อนอะไร ท่านจะมาช่วยนำทัพรวมไทยสร้างชาติของเราอย่างไรให้ประสบความสำเร็จเพื่อประชาชนมากกว่า สรุปได้เลยว่าที่นี่ เราเน้นงาน ไม่ได้เน้นเรื่องหัวโขนเรื่องตำแหน่ง
-เรื่องของเศรษฐกิจ คนภายนอกยังมองว่าพรรคยังไม่ค่อยมีมือเศรษฐกิจ ที่จะเข้ามาทำงาน มาแก้ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ?
ตรงนี้ขอพูดในนามส่วนตัว ไม่ได้เกี่ยวกับกรรมการบริหารพรรค คือที่ผ่านมา ก็จะเห็นว่ามีมือเศรษฐกิจอะไรต่างๆ มากมาย แต่เมื่อดูแล้วเห็นเป็นอย่างไร อย่างผมก็นักธุรกิจคนหนึ่งที่เติบโตมาจาก SMEจนปัจจุบันต้องบอกว่าเป็นธุรกิจการศึกษาขนาดใหญ่
ผมมองว่าภาคเอกชนอย่างพวกเรา เรื่องนี้คือชีวิตของพวกเรา ที่หากได้นโยบายในการส่งเสริมจากภาครัฐ แล้วไม่ต้องมีข้อจำกัดอะไรให้เราเจ๊ง แค่นี้เราก็ไปได้แล้ว ก็คือภาครัฐ ออกแบบในการส่งเสริมสนับสนุนให้ภาคเอกชนได้ลืมตาอ้าปาก ได้พัฒนาธุรกิจของเขา ส่งเสริมให้เขาเจริญรุ่งเรือง จากธุรกิจไซส์ S มาเป็นไซส์ L จนมาเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ หรือยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ทำให้เศรษฐกิจฐานรากเข้มแข็ง เราเห็นตัวอย่างในหลายประเทศแล้วที่หากเศรษฐกิจฐานราก หรือ SME แข็งแรง ประเทศเข้มแข็งได้ เพราะฉะนั้นในมุมเศรษฐกิจสำหรับตัวผมเอง ไม่ได้ห่วงว่าใครจะมาเป็นตัวโชว์ว่าใครจะมาเป็นมือเศรษฐกิจ เพราะที่ผ่านมา เราก็ได้รับบทเรียนเรื่องนี้มาแล้ว
-ความพร้อมของรวมไทยสร้างชาติในการเข้าสู่การเลือกตั้งมีมากแค่ไหน และคิดว่าในพื้นที่อย่างเช่นกรุงเทพมหานคร พรรคจะปักธง มีส.ส.เขต กทม.ได้หรือไม่?
ต้องบอกว่าพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมร้อยเปอร์เซนต์ และเราก็พร้อมที่จะไปทำงานด้วย
สำหรับพื้นที่เลือกตั้ง กรุงเทพมหานคร ยังไม่ขอประเมินเพราะผมไม่ได้เป็นคนดูแลในส่วนนี้ แต่หากดูจากที่ผมเห็น สำหรับพรรคก็มีทั้งคนรุ่นใหม่ที่เป็นนักธุรกิจ เป็นอดีตอาจารย์ เป็นผู้เชี่ยวชาญ เป็นคนที่เคยอยู่ในแวดวงสตาร์ทอัพ มาลงสมัครส.ส.เขต กทม.ของรวมไทยสร้างชาติก็เยอะ รวมถึงมีพี่ๆ ที่เป็นส.ส.อยู่แล้วและคนที่เป็นผู้ใหญ่ รุ่นใหญ่ มาลงสมัครส.ส.เขต กทม.ของพรรคก็เยอะ ก็เป็นการผสมผสานกันทั้งรุ่นใหม่รุ่นใหญ่ ผสมผสานกันทั้งนักการเมืองและผู้เชี่ยวชาญจากหลายสาขาอาชีพ ที่เป็นเรื่องดี ซึ่งในกรุงเทพฯ ผมว่าดีและมีโอกาส ซึ่งในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นผมเชื่อว่าพรรคจะประสบความสำเร็จ
-ยืนยันว่าไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ ไม่ใช่ว่าหากต่อไป ไม่มีพลเอกประยุทธ์ พรรคอาจจะหายไป?
ผมเอง จะบอกว่า ก็มีต้นทุนชีวิตเหมือนกัน มีผลงาน มีประวัติศาสตร์ชีวิตเหมือนกัน ถ้าไม่มั่นใจจริงๆ ผมไม่มา ถ้าคิดว่าเป็นพรรคเฉพาะกิจเฉยๆ ผมไม่มา
เพราะฉะนั้น ผมมั่นใจ และเชื่อว่าพี่ๆ ที่มาอยู่ที่รวมไทยสร้างชาติ เมื่อได้เข้ามาอยู่ ได้เข้ามาสัมผัส ก็มั่นใจเหมือนกันว่า ที่รวมไทยสร้างชาติจะเป็นสถาบันการเมืองที่ดีต่อไป ทางหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค ออกแบบพรรคไว้ให้พรรคเป็นสถาบันการเมือง เป็นพรรคการเมืองจริงๆ เราไม่ได้ตัดสินใจโดยใครคนใดคนหนึ่ง แต่เราจะร่วมกันทำงาน
“รวมไทยสร้างชาติ เป็นพรรคที่รวมทั้งคนรุ่นใหม่และคนรุ่นใหญ่ ที่มีความมุ่งมั่นที่จะเข้ามาทำงานการเมืองเพื่อประชาชนจริงๆ ก็อยากฝากให้รอนโยบายพรรค ที่การันตีได้เลยว่านโยบายที่จะออกมา จะเป็นนโยบายที่เราทำจริง”