“พริษฐ์ วัชรสินธุ” ชี้ ผลสอบ PISA นักเรียนไทยลด เพราะคุณภาพระบบการศึกษาไทยมีแนวโน้มถดถอย แนะยกเครื่องหลักสูตรการศึกษาใหม่ 9 ข้อ เน้นพัฒนาทักษะ-ฐานสมรรถนะ ควบคู่กับเร่งลดภาระงานครูที่ไม่เกี่ยวกับการพัฒนาผู้เรียน
วันที่ 6 ธันวาคม 2566 นายพริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกและ สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล เผยถึงกรณีที่องค์กรเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) มีการเผยแพร่ผลประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล (PISA) ประจำปี 2022 ซึ่งเป็นการประเมินทักษะของนักเรียนและตัวชี้วัดคุณภาพระบบการศึกษาของแต่ละประเทศ ที่มีการวัดผลทุก 3 ปี
ซึ่งผลคะแนนของนักเรียนไทยลดลงมาอยู่ในจุดที่ต่ำสุดในรอบ 20 ปี ในทักษะทั้ง 3 ด้านที่มีการประเมิน โดยมีอันดับอยู่ในครึ่งล่างของตารางทั้งในระดับโลกและระดับภูมิภาคอาเซียน ประกอบด้วย 1) คณิตศาสตร์ คะแนนลดลง 6% (อันดับ 58 จาก 81 ประเทศ-พื้นที่ที่เข้าร่วม), 2) การอ่าน คะแนนลดลง 4% (อันดับ 64 จาก 81 ประเทศ-พื้นที่ที่เข้าร่วม) และ 3) วิทยาศาสตร์ คะแนนลดลง 4% (อันดับ 58 จาก 81 ประเทศ-พื้นที่ที่เข้าร่วม)
นายพริษฐ์ ระบุว่า ผลลัพธ์นี้เป็นสิ่งที่หลายคนคาดการณ์ได้ เนื่องจากคุณภาพของระบบการศึกษาไทยมีแนวโน้มถดถอยมาอย่างต่อเนื่องตลอด 10-20 ปีที่ผ่านมา และตนหวังว่าผลลัพธ์นี้จะเป็นสัญญาณเตือนสำหรับให้ทุกภาคส่วนให้เห็นว่าการศึกษาไทยกำลังอยู่ในขั้นวิกฤติ
การที่เด็กไทยเรียนหนักเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่กลับมีทักษะที่ตามหลังหลายประเทศ สะท้อนให้เห็นว่าการศึกษาไทยที่มีปัญหาไม่ใช่เพราะเด็กไทยไม่ขยัน แต่เป็นเพราะระบบการศึกษาไม่สามารถแปรชั่วโมงเรียนและความขยันของนักเรียน ให้ออกมาเป็นทักษะได้เท่ากับระบบการศึกษาของประเทศอื่น
แม้การยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยยังจำเป็นต้องอาศัยหลายมาตรการ แต่สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ คือการจัดทำหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานฉบับใหม่ มาแทนที่หลักสูตรปัจจุบันที่ไม่ได้มีการเขียนใหม่หรือปรับปรุงขนานใหญ่มาหลายปี
หากวันนี้ก้าวไกลมีโอกาสได้เป็นรัฐบาล จะมีการชวนทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ครู นักเรียน ผู้ปกครอง มาร่วมออกแบบหลักสูตรให้เสร็จภายใน 1 ปี เนื่องจากหลายภาคส่วนมีการพัฒนาข้อเสนอเรื่องหลักสูตรใหม่มาสักพักแล้ว เพื่อเริ่มทยอยนำมาใช้ในแต่ละระดับชั้นให้ครบทั้งหมดภายในวาระของรัฐบาล
นายพริษฐ์ ยังระบุด้วยว่า ในมุมมองของตน เป้าหมายหลักของหลักสูตรใหม่ควรเป็นการเน้นพัฒนาทักษะ-สมรรถนะที่นำไปใช้ได้จริงในอาชีพการงานและในชีวิต โดยตนขอเสนอกรอบเบื้องต้นดังต่อไปนี้
1) ปรับวิชาหรือเป้าหมายของวิชาให้สอดคล้องกับเป้าหมายหลักเรื่องทักษะ-สมรรถนะ, ทบทวนวิชาที่ควรมีหรือไม่มี, ปรับเป้าหมายของแต่ละวิชาให้เน้นทักษะที่สำคัญ มากกว่าการอัดฉีดเนื้อหาหรือข้อมูลให้กับผู้เรียน เช่น ภาษาอังกฤษที่เน้นการสื่อสาร หรือวิชาประวัติศาสตร์ที่เน้นการวิเคราะห์-ถกเถียง-แลกเปลี่ยน
2) ปรับวิธีการสอนและเสริมทักษะให้ครูสามารถพลิกบทบาทจาก “ครูหน้าห้อง” ที่เน้นถ่ายทอดความรู้ผ่านการบรรยายทางเดียว มาเป็น “ครูหลังห้อง” ที่เน้นสร้างบรรยากาศและจัดสรรเวลาให้นักเรียนได้แลกเปลี่ยนมากขึ้น
3) ลดจำนวนชั่วโมงเรียนและคาบเรียน จาก 1,200 ชั่วโมงต่อปี เหลือประมาณ 800-1,000 ชั่วโมงต่อปีตามมาตรฐานสากล ลดเนื้อหาหรือกิจกรรมในส่วนที่ไม่จำเป็นลง เพื่อเน้นที่คุณภาพของชั่วโมงเรียน และให้นักเรียนเหลือเวลาเพียงพอสำหรับการเรียนรู้นอกห้องเรียนและการพักผ่อน
4) ลดภาระการบ้านและการสอบแข่งขันที่หนักเกินไป ปรับไปใช้วิธีประเมินผลรูปแบบอื่น เช่น การบูรณาการการบ้านหลายวิชา การทำกิจกรรมในเวลาเรียน การทำโครงการกลุ่ม ฯลฯ เพื่อลดภาระและความเครียดที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตของเยาวชนไทย
5) เพิ่มเสรีภาพในการเรียนรู้ ลดวิชาบังคับ เพิ่มวิชาทางเลือก ให้นักเรียนมีอิสระและมีส่วนร่วมในการออกแบบเส้นทางการเรียนรู้ของตนเอง โอบรับความหลากหลายของผู้เรียนที่มีความถนัดและความชอบที่แตกต่างกัน
6) เพิ่มการตรวจสอบโดยประชาชน เพิ่มกลไกในการทำให้หนังสือเรียนและข้อสอบปรับตามและสอดรับกับหลักสูตรใหม่ ผ่านการสร้างแพลตฟอร์มให้ประชาชนตรวจสอบเนื้อหาหนังสือเรียน และการเปิดข้อสอบ TCAS ย้อนหลังทั้งหมดพร้อมเฉลย
7) กระจายอำนาจด้านการออกแบบหลักสูตร โดยวางระบบให้มีหลักสูตร 3 ระดับ ประกอบด้วยแกนกลาง จังหวัด และสถานศึกษา ควบคู่กับการลดกลไกควบคุมจากส่วนกลาง เพื่อให้โรงเรียนมีอำนาจมากขึ้นในการออกแบบหลักสูตรที่สอดคล้องกับความต้องการและความจำเป็นของผู้เรียนในแต่ละโรงเรียน
8) วางกลไกสำหรับการพัฒนาหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง ให้มีการทบทวนหลักสูตรแกนกลางทุก 4 ปี เพื่อให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกและทักษะที่จำเป็นในแต่ละยุคสมัย
9) ส่งเสริมการเรียนรู้นอกห้องเรียนและการเรียนรู้ตลอดชีวิต ออกแบบสภาพแวดล้อมและการเรียนการสอนในห้องเรียนที่เอื้อต่อการพร้อมตั้งคำถามและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
นายพริษฐ์ยังเสนอว่านอกเหนือจากการจัดทำหลักสูตรใหม่ อีกมาตรการที่สำคัญคือการลดภาระงานครูที่ไม่เกี่ยวกับการเรียนการสอนหรือการพัฒนาผู้เรียน เพราะปัจจุบันประมาณ 40% ของเวลาทำงานครูถูกใช้ไปกับงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนและการพัฒนาผู้เรียน
ดังนั้น ตนเสนอว่าต้องมีการเร่งทบทวนลดภาระงานครูทั้งในด้าน งานเอกสาร งานธุรการ การเขียนรายงาน การนอนเวร ฯลฯ เพื่อลดภาระงานครูและคืนครูให้นักเรียน ตัดงานที่ไม่จำเป็นออก นำเทคโนโลยีมาช่วยงานในบางส่วน และการจัดหาบุคลากรด้านอื่นมาช่วยแบ่งเบาภาระ
“ผมเข้าใจว่ารัฐบาลอาจมีเป้าหมายอื่นที่ตั้งไว้ แต่รัฐต้องระมัดระวังในการใช้วิธีโยนนโยบายไปให้ครูปฏิบัติโดยไม่ประเมินภาระงานและความคุ้มค่าของงานอย่างรอบคอบ เพราะทุกครั้งที่เป็นเช่นนั้น ครูมักต้องดึงตัวเองออกมาจากห้องเรียนเพื่อไปทำเอกสารรายงานการดำเนินงานตามนโยบายต่างๆ แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้ผลลัพธ์ของนโยบายดังกล่าวไม่เกิดขึ้นจริงตามที่รัฐคาดหวัง แต่ยังไม่สร้างผลดีทั้งต่อตัวครู ตัวผู้เรียน และคุณภาพการศึกษาในภาพรวมด้วย” นายพริษฐ์กล่าว