หลายฝ่ายรุมค้านส่ง 19 เด็กไร้สัญชาติกลับพม่า เผยรัฐละเมิดกฎหมาย-อนุสัญญาระหว่างประเทศ กสม.เตรียมสอบ“ปารมี”เร่งประสานชะลอส่งตัวกลับ
เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีเด็กไร้สัญชาติจำนวน 19 คน จากมูลนิธิบ้านครูน้ำ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ซึ่งไปบวชเรียนอยู่ที่วัดสว่างอารมณ์ อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี แต่ถูกเจ้าหน้าที่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เข้าไปตรวจสอบและนำตัวกลับมายัง จ.เชียงราย เพื่อเตรียมผลักดันกลับประเทศพม่า โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างให้ ตม.เชียงแสน ประสานทาง ตม.ท่าขี้เหล็กเพื่อติดตามพ่อแม่และขอเอกสารยืนยันตัวตนมารับเด็กกลับประเทศ
นางเตือนใจ ดีเทศน์ ผู้ก่อตั้งและที่ปรึกษามูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา(พชภ) และอดีตสมาชิกวุฒิสภากล่าวว่า การนำตัวเด็กจำนวน 19 คนกลับมาจาก จังหวัดลพบุรีถือว่าเป็นสถานการณ์พิเศษ ทำให้เด็กประสบกับภาวะไม่มั่นคงและไม่เห็นอนาคต จึงถูกพาหนีภัยจากประเทศเมียนมามายังประเทศไทย โดยเด็กเหล่านี้บางส่วนเป็นเด็กเร่ร่อน บางส่วนไม่มีผู้ปกครองซึ่งรัฐต้องมีนโยบายและแนวทางคุ้มครองเด็กเหล่านี้ ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 และอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิเด็ก ที่ต้องให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับเด็ก รวมทั้ง พ.ร.บ.การศึกษา พ.ศ. 2542 ที่ต้องให้สิทธิการศึกษากับเด็กเพราะสถานการณ์ปัจจุบันมีปัญหารอบด้านทำให้เด็กๆ มีความเสี่ยงที่จะถูกนำไปค้าบริการและอยู่ในวงจรเครือข่ายยาเสพติด และยังเสี่ยงต่อการค้ามนุษย์ ค้าอวัยวะซึ่งมีราคาสูงมาก
นางเตือนใจกล่าวว่า การที่รับเขามาดูแลให้การศึกษาในขณะที่ประเทศต้นทางกำลังประสบปัญหา แต่เมื่อพื้นที่เขากลับสู่ภาวะสงบเด็ก ๆ ก็จะกลับประเทศได้อย่างปลอดภัย ขณะที่ฝ่ายบริหารปัจจุบันยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องนี้ การเตรียมส่งเด็ก 19 คนนี้กลับประเทศ นับเป็นครั้งที่ 2 จากเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาซึ่งมีกรณีนำเด็กกลับมาจาก ร.ร.ไทยรัฐวิทยา 6 จ.อ่างทอง ที่ครูกัลยา ทาสม อดีต ผอ. โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 6 รับเด็กชาวเมียนมา 126 คนเข้าเรียน และถูกเจ้าหน้าที่รัฐตั้งข้อกล่าวหาว่า กระทำผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 นำเด็กต่างด้าวเข้าเรียนในราชอาณาจักรไทย ก่อนโดนส่งกลับประเทศ แล้วยังโดนสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอ่างทองตั้งกรรมการสอบวินัย กล่าวหาว่าไม่ได้ดําเนินการตามขั้นตอนกับพวก ซึ่งเครือข่ายองค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับสิทธิเด็ก เฝ้าติดตามว่าอัยการจะสั่งไม่ฟ้องคดีอาญา และจะมีการยกเลิกโทษทางวินัยหรือไม่
“ขอตั้งคำถามกับฝ่ายบริหาร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ พม.ที่ทำหน้าที่รักษาการตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก รวมทั้งกระทรวงศึกษาธิการ สภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ว่าจะมีแนวทางต่อเด็กเร่ร่อนไร้สัญชาติไร้ ผู้ปกครองที่หลบหนีภาวะไม่มั่นคง ความไม่ปลอดภัยเข้าในประเทศจะมีแนวทางดำเนินการอย่างไร เพื่อให้เด็กได้รับการคุ้มครองดูแลและรับมือสถานการณ์พิเศษที่มีความรุนแรงรอบด้านที่กำลังเกิดขึ้นนี้ได้“ อดีต สว.กล่าว
นายสุรพงษ์ กองจันทึก ผู้ทรงคุณวุฒิด้านผู้ด้อยโอกาสและเด็ก คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวว่า การนำเด็กออกโรงเรียนกลางคันถือเป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่สามารถทำได้ ตาม พรบ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 เพราะถือว่าเด็กเป็นผู้บริสุทธิ์ รัฐต้องทำหน้าที่คุ้มครอง เพราะเด็กทั้ง 19 คนอายุน้อยต่ำกว่า 18 ปี การเข้าเมืองโดยเด็กมีผู้พามา เด็กไม่ได้มาเอง จึงไม่สามารถดำเนินการเอาผิดตาม พ.ร.บ.ตรวจคนเข้าเมืองและตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก ได้
นายสุรพงษ์กล่าวว่า นอกจากนี้ด้านสิทธิการศึกษา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2548 ได้เห็นชอบ ให้จัดสรรงบประมาณอุดหนุนเป็นค่าใช้จ่ายรายหัวให้แก่สถานศึกษาที่จัดการศึกษาให้แก่กลุ่มบุคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย เพื่อขยา ยโอกาสทางการศึกษา แก่บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร หรือไม่มีสัญชาติไทย สามารถเรียนได้โดยไม่จำกัดพื้นที่ และยกเลิกเรื่องการห้ามข้ามเขต จึงชอบด้วยกฎหมายที่เด็กไร้สัญชาติเหล่านี้จะสามารถเรียนที่ไหนก็ได้ ดังนั้นคนที่เกี่ยวข้องต้องชี้แจงต่อเจ้าหน้าที่ หน่วยงาน ทั้ง พม. กระทรวงศึกษาธิการ มีหน้าที่คุ้มครองเด็ก โดยขณะนี้ทาง กสม.ได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีนักเรียนไร้สัญชาติทั้ง 19 คน หลังจากนี้คงจะเตรียมลงพื้นที่ไปรับตรวจสอบและรับฟังข้อมูลและข้อเท็จจริงจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
ขณะที่ปารมี ไวจงเจริญ ส.ส.พรรคก้าวไกล และกรรมาธิการ(กมธ.)การศึกษา สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ในขณะนี้ตนได้รับทราบข้อมูลจากข่าวที่นำเสนอ และมีความเห็นว่าตอนนี้ต้องดำเนินพูดคุยหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ชะลอการผลักดันเด็กออกจากประเทศ เพราะเด็กหนีภัยสงครามและมีคนนำมาฝากให้อยู่ในที่ปลอดภัย จึงไม่ควรโดนผลักดันกลับ ทั้งด้วยสามัญสำนึกและมนุษยธรรม เด็กต้องได้รับการคุ้มครอง ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ไม่ควรผลักดันให้เขากับไปสู่พื้นที่อันตรายหรือมีความเสี่ยง การอ้างเรื่องกฎหมายคนเข้าเมืองจึงอยากให้ทบทวน เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ต้องคุ้มครองเด็ก
“เบื้องต้นจะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พม. และตม. มหาดไทย ดำเนินการให้ชะลอการส่งกลับ อยากให้มองคนเป็นคน เด็กอายุยังน้อยมาก มองเด็กเป็นเด็กที่ต้องอยู่ในที่ปลอดภัย จากนั้นก็พิจารณาเรื่องสิทธิด้านการศึกษา สถานะกันต่อไป” ส.ส.พรรคก้าวไกลกล่าว